“ข้าอยากจะสอบถามว่าทางนี้มีวัสดุที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าที่สามารถแลกได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงรีบพูดออกมาตามตรง
“วัสดุที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า? ให้ข้าตรวจสอบดูสักหน่อย แล้วค่อยบอกกับศิษย์พี่” ชายหน้ายาวสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขานำคัมภีร์หยกแววแววออกมาเล่มหนึ่ง และหรี่ตาทั้งคู่ทำการตรวจสอบ
ครู่ต่อมา เขาก็ปิดคัมภีร์หยกลง และกล่าวด้วยความเสียดาย
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ต้องขอโทษด้วย ข้าได้ตรวจสอบดูวัสดุทั้งหมดที่มีในวิหารไท่เจินแล้ว ไม่มีสิ่งของที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เลย”
“รบกวนศิษย์น้องแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวด้วยแววตาผิดหวัง
แม้แต่วิหารไท่เจินยังไม่มีของสิ่งนี้ ดูท่าเรื่องตามหาวัสดุอสูรว่างเปล่าคงได้แต่ละทิ้งไว้ชั่วคราวแล้ว
เขาคิดไตร่ตรองเช่นนี้ในใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากวิหารไท่เจิน
ขณะที่เขาเดินออกมาตรงประตูใหญ่นั้น แสงหลบหลีกสีดำกับสีเงินก็พุ่งเข้ามา พริบตาเดียวก็ร่วงบนอากาศตรงหน้าหลิ่วหมิง พอแสงหลบหลีกดับลง กลับเป็นชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดผ้าแพรสีเงิน
“หยุดก่อน! เจ้าคือหลิ่วหมิงใช่ไหม?”
ชายหนุ่มหน้าตาดุดัน รูปร่างค่อนข้างสูง ปราฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง เขายื่นแขนขวาขัดขวางไว้พร้อมกับตะโกนออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว เขาหมุนตัวเพื่อจะจากไป แต่กลับถูกชายหนุ่มใบหน้างดงาม ที่สวมชุดคลุมสีเงินอีกคนขวางทางไว้
“ศิษย์พี่หลิ่ว ข้าหลัวเทียนเฉิง เป็นศิษย์ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ผู้นี้คือฟ่านเจิ้ง ลูกพี่ลูกข้าของข้า เคยมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในศิษย์คัดเลือกเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วยเช่นกัน” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเงินประสานมือคารวะแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
พูดถึงหลัวเทียนเฉิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในนิกายในช่วงนี้แล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้จักเล่า แม้กระทั่งอินจิ่วหลิงยังเคยพูดถึงชื่อนี้กับเขาเลย
และคนที่ชื่อฟ่านเจิ้งนี้เขาก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักเหมือนกับหลัวเทียนเฉิง แต่ก็มีชื่อเสียงในบรรดาศิษย์สายในไม่น้อย
“เทียนเฉิงอย่าพูดจาไร้สาระกับเขา หากเจ้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร ก็มอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์มาเถอะ บางทีข้าอาจจะข้าให้ผลประโยชน์แก่เจ้าเล็กน้อย ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือเอง” ฟ่านเจิ้งกลับเผยแววตาโหดร้ายออกมา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สำหรับข้อคิดเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิวย่อมไม่สนใจแต่อย่างใด หลังจากยิ้มบางๆ แล้ว ก็เคลื่อนไหวออกไปสี่ห้าจั้ง
“ฮึ! ไม่รู้จักให้เกียรติกันเลย! เทียนเฉิงหลบไป วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้” ฟ่านเจิ้งเห็นเช่นนี้ก็โมโหเป็นอย่างมาก พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นผังอวกาศสีขาวดำก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“ศิษย์พี่ฟ่าน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือที่ใด?” หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงปราณจิตวิญญาณแปลกประหลาดที่อยู่ด้านหลัง แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมโดยไม่ได้หันหน้ากลับไป
ฟ่านเจิ้งกระโดดขึ้นฟ้าราวไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง จากนั้นก็ปล่อยพลังใส่แผ่นผังอวกาศ แผ่นผังอวกาศที่มีขนาดแค่หนึ่งชุ่นกว่าๆ มีลายเส้นจิตวิญญาณสีดำกับสีขาวเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิวอย่างบ้าคลั่ง และแผ่นค่ายกลนี้ก็หมุนตัวติ้วๆ ท่ามกลางพายุจนขยายใหญ่ห้าหกจั้ง ทำให้ผังอวกาศบนแผ่นค่ายกลขนาดใหญ่ดูชัดเจนขึ้นมา ขณะเดียวกัน ภายในรัศมีที่ปกคลุมก็มีพายุสีดำกับสีขาวม้วนตัวขึ้นมา
หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งถอยออกไป
หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงว่าฟ่านเจิ้งจะลงมือในสถานที่แห่งนี้โดยไม่สนกฎของนิกาย เขาจึงมีท่าทีตอบสนองช้าไปหน่อยหนึ่ง ขณะที่กำลังตกใจนั้น พายุกระหน่ำสีดำขาวก็กลายเป็นกำแพงพายุในทันที และกักขังเขาไว้ด้านใน
ขณะนี้คลื่นพลังจิตวิญญาณก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นมาดูการประลองนี้
“ในเมื่อศิษย์พี่ฟ่านจะตัดสินแพ้ชนะให้ได้ ข้าน้อยคงต้องตอบสนองแล้ว” หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ไอดำก็ม้วนตัวออกจากร่างของเขา และคิดที่จะปล่อยกำปั้นใส่กำแพงพายุ
แต่ขณะนั้นเอง เท้าของเขาก็รู้สึกเบาขึ้นมา พายุบ้ากระหน่ำม้วนตัวออกมาจากด้านล่าง ทำให้อากาศรอบด้านหนาแน่นขึ้นมา และเขาก็ไม่อาจขยับตัวได้ชั่วเวลาหนึ่ง
“หลิ่วหมิง วันนี้ข้าจะนำเจ้ามาเก็บไว้ในกรงอวกาศนี้” ขณะเดียวกัน พลันมีน้ำเสียงเยือกเย็นของฟ่านเจิ้งดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
ครู่ต่อมา ฟ่านเจิ้งตบมือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง แผ่นผังอวกาศสั่นสะเทือนกลางอากาศอย่างรุนแรง และยิ่งหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสีดำกับสีขาวผสมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“ฟิ้ว!” อักขระสีดำกับสีขาวล่องลอยออกมาจากแผ่นผังอวกาศ แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวลงไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างของหลิ่วหมิงถูกดูดขึ้นมา และพุ่งไปทางแผ่นผังอวกาศโดยตรง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาเยือกเย็นออกมา ไอดำบนตัวม้วนตัวออกไป ร่างของเขาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศทันที ขณะเดียวกัน พลังที่คุมขังอยู่รอบด้านก็สั่นสะเทือนออกไป พอเอานิ้วแตะระหว่างคิ้ว แสงสีทองลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งทองคำที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ
“ไป!”
ขณะที่หลิ่วหมิงตะโกนออกมาเบาๆ นั้น รุ้งกระบี่สีทองก็แยกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงกระบี่แปดลำพุ่งไปรับมือกับอักขระสีขาวดำที่กำลังร่วงลงมา
เกิดเสียงแตกหักดังมาจากกำแพงพายุอย่างต่อเนื่อง อักขระอวกาศสีดำกับสีขาวแต่ละตัวถูกรุ้งกระบี่ฟันจนแตกกระจายกลายเป็นจุดๆ และสลายไปในอากาศ
ฟ่านเจิ้งที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา เขาตบแผ่นอวกาศอย่างรุนแรงอีกครั้ง และใส่พลังเวทเข้าไปในนั้นอย่างบ้าคลั่ง อักขระอวกาศหลายร้อยตัวพวยพุ่งออกจากผิวแผ่นค่ายกล หลังจากรวมตัวกันกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นอักขระขนาดสิบกว่าจั้ง และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
“ฟัน!”
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลโจมตีเข้ามา จึบรีบเก็บแสงกระบี่ที่กลายร่างมาจากกระบินพลังจิตวิญญาณทั้งหมด ทันใดนั้นแสงกระบี่ที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็หมุนวนอยู่รอบตัวเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา