ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 757

สรุปบท ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง
ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด เขากระตุ้นเคล็ดเกราะอสูรในทันที หมึกแปดขาที่แนบติดหน้าอกส่งเสียงร้องออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะอสูรสีเงินปกคลุมทั่วร่างของหลิ่วหมิง

เคล็ดเกราะอสูรนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้อสูรจิตวิญญาณกลายเป็นเกราะหนังเพื่อทำการป้องกันเท่านั้น ยังมีผลต่อกายเนื้อของเขาเป็นทวี ตอนนี้ปีศาจอสูรสมุทรแปดขามีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว จึงเพิ่มทวีความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้กับเขาได้ถึงสามส่วน

ขณะเดียวกัน พอหลิ่วหมิงยื่นแขนทั้งสองไปด้านหน้า มังกรพยัคฆ์หมอกที่อยู่ด้านหลังก็ขยายใหญ่ในพริบตา และพุ่งลงด้านล่างพร้อมกับส่งเสียงคำราม

การที่หลิ่วหมิงใช้เคล็ดเกราะอสูรเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ ทำให้หลัวเทียนเฉิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็ทำเสียงฮึดฮัดอย่างรวดเร็ว ท่ามือของเขาเปลี่ยนแปลงอยู่ครู่หนึ่ง มังกรพยัคฆ์สีเงินพากันระเบิดออกมาทีละตัว และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวขึ้นไป

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง มังกรหมอกดำห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกส่งเสียงระเบิดออกมาเช่นกัน “ปังๆ!” จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งลงไป

“ตู๊ม!” แสงสีดำกับสีเงินปะทะกันกลางอากาศ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นลูกแสงสีเงินกับสีดำอย่างละหนึ่งลูก และปะทะเข้าหากันราวกับดวงอาทิตย์สองดวงพุ่งชนกัน

ท่ามกลางเสียงดังโครมครามกลางอากาศ ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง

การประลองระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงก่อให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของศิษย์แต่ละกลุ่มที่ผ่านบริเวณนั้นให้หยุดมองจากที่ไกลๆ

ขณะนี้ ลูกแสงยักษ์กลางอากาศสองลูกขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปัดแข้งปัดขากัน มันก็ค่อยๆ รวมกันเป็นหนึ่ง ดูจากที่ไกลๆ แล้ว มันเหมือนกับลูกแสงยักษ์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ อีกครึ่งหนึ่งเป็นสีเงิน แต่กลับมีเส้นแบ่งเขตตรงกลางชัดเจน และกลิ่นไอที่แผ่ออกจากในนั้นมันน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่ใช้จิตสำรวจดู ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!

ลูกแสงครึ่งวงกลมสองลูกระเบิดออกมาทันที ลำแสงสีเงินผสมปนเปกับสีดำพุ่งออกไปทั่วทิศ

หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังสะท้อนกลับที่โจมตีเข้ามา ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง พอกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูร โล่สีเงินชิ้นหนึ่งก็ต้านทานอยู่ตรงหน้า

จากนั้นร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลที่ส่งผ่านมาจากโล่กระแทกจนกระเด็นออกไปร้อยกว่าจั้ง และชนใส่ยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรุนแรง

แผ่นดินสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง เกิดรอยขนาดเท่าปากถ้วยบนยอดเขา

ขณะที่เขาคิดจะกระตุ้นพลังให้พุ่งออกไปนั้น ร่างของเขากลับหยุดชะงักลง และกระอักเลือดออกมา

และหลัวเทียนเฉิงก็ถูกพลังสะท้อนกลับจนมีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก จะเห็นว่าพื้นด้านนอกวิหารไท่เจิน มีหลุมสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง และลึกหนึ่งจั้งกว่าๆ ปรากฏออกมาหลุมหนึ่ง

ในส่วนลึกของหลุมสีดำ หลัวเทียนเฉิงกำลังนอนหงายหลังอยู่ในนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว มีบาดแผลปกคลุมเต็มตัว โลหิตไหลออกจากมุมปาก ผ่านไปสักพัก ถึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา และมองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก

ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มุงดูอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล พอเห็นฉากอันน่าตกใจในก่อนหน้า ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แม้แต่ผู้ที่ทำการกระซิบกระซาบกันอยู่ ต่างก็ลืมคำพูดของตัวเองไปชั่วคราว ทำให้บรรยากาศรอบด้านเงียบไปทั้งแถบ

หลังจากหลัวเทียนเฉิงออกจากหลุมมาแล้ว ก็สูดหายใจลงเข้าลึกๆ สองสามทีแสงสีเงินหมุนวนรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กลิ่นไอบนตัวค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ราวกับว่าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ตอนนี้ถึงนึกขึ้นได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน ร่างกายเกือบจะเป็นอมตะ แม้ว่าเขาจะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังทั้งหมด สุดท้ายแล้วจะชนะหรือแพ้ล้วนเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก

แต่ว่าหลัวเทียนเฉิงเพียงแค่มองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็หายวับมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างฟ่านเจิ้งที่ยังคงหมดสติอยู่ หลังจากอุ้มเขาขึ้นมาแล้ว ก็หมุนตัวทะยานขึ้นฟ้า และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งจากไป พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขารีบนำโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งหนีไป

มิเช่นนั้นหากเขาหนีไปช้าแล้วถูกคนของหอคุมกุฎจับตัวได้ล่ะก็ อาจจะมีปัญหาตามมาเล็กน้อย

หลังจากหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ฝูงชนที่มุงดูอยู่ถึงได้สติจากความตกใจ ทันใดนั้นก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา โดยเฉพาะหนึ่งในผู้ที่ทำการแลกมือในครั้งนี้ เป็นหลัวเทียนเฉิงที่ผู้คนในนิกายต่างก็รู้จัก จึงทำให้คนจำนวนมากรู้สึกสนใจไม่น้อย

และสถานะของหลิ่วหมิงก็ถูกคนมองออกอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้เกิดความฮือฮามากขึ้นกว่าเดิม

ไม่นาน ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาเมฆาหยก เฮ่าเยวี่ยที่ดูเหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสามปี กำลังเก็บแผ่นค่ายกลส่งสารด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก

“ในเมื่อท่านประมุขระบุชื่อด้วยตนเอง คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ชายชุดคลุมสีเทาพยักหน้า และแสดงสีหน้าสบายใจออกมา

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา ว่ากันว่าศิษย์สองคนที่ประลองกันหน้าประตูวิหารไท่เจินในเช้าวันนี้ ก็คือหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงของยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ได้ยินมาว่าไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่คะแนนการต่อสู้ในครั้งนี้ ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว” อินจิ่วหลิ่วหัวเราะเหอะๆ แล้วกล่าวออกมา

“แน่นอน! ศิษย์หลานหลิ่วสามารถรับมือกับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของหลัวเทียนเฉิงได้โดยที่ไม่ตกเป็นรอง ลำพังแค่คุณสมบัติในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ก็เหลือเฟือแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว หากแลกมือกันอย่างจริงจัง เกรงว่าศิษย์หลานหลิ่วคงจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเขาจะมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณอยู่ในมือ แต่หากจะกรีดร่างจิตวิญญาณตูเทียนนั้น ยังคงเป็นไปไม่ได้ และพอการต่อสู้ยืดเยื้อนานเข้า ก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้อีก เพราะเดิมทีร่างจิตวิญญาณตูเทียน ก็มีชื่อเสียงในการป้องกันและความทรหดอันน่าตกใจอยู่แล้ว ผู้ที่มีร่างจิตวิญญาณนี้ จะมีการฟื้นฟูรวดเร็วอย่างน่าตกใจ เพียงแค่พลังเวทไม่ถูกใช้จนหมด ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเอาชนะได้”

ชายชุดคลุมสีเทาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และดีดหมากขาววางลงบนมุมที่หมากดำอยู่กองกัน

พอหมากเม็ดนี้ร่วงลงไป กระดานหมากก็เปล่งประกายแวววาว หมากดำหลายสิบเม็ดที่อยู่มุมหนึ่งของกระดานหายไปในฉับพลัน

“เฮ่อๆ! เรื่องของผู้น้อย ก็ให้พวกผู้น้อยจัดการเองเถอะ พวกเราทำเรื่องของตนเองให้ดีก็พอ ว่าแต่ศิษย์น้องเถียน ข้าเองก็ตั้งใจศึกษาหมากล้อมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังห่างชั้นกับเจ้าเช่นนี้” อินจิ่วหลิงมองดูกระดานหมากทีหนึ่ง จากนั้นก็ปรบมือหัวเราะเป็นการใหญ่

“ท่านผู้ควบคุม เป็นเพราะท่านไม่มีสมาธิ ถึงทำให้ข้าฉวยโอกาสได้ ออมมือแล้ว!” ชายชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างนอบน้อม

……

การต่อสู้อันตื่นตะลึงของหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง ย่อมถูกบอกเล่ากันปากต่อปาก จนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์

หลิ่วหมิงที่เคยเป็นที่ฮือฮาในนิกายยอดบริสุทธิ์เมื่อสามสิบปีก่อน ถูกผลักดันไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ชื่อเสียงดังกระฉ่อนกว่าเมื่อก่อนสิบกว่าเท่า แม้แต่ยอดเขาแต่ละแห่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ยังพูดถึงเขาอย่างออกรส

และขณะที่ผู้คนในนิกายต่างก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเขานั้น หลิ่วหมิงกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เพื่อฟื้นฟูพลังเวทอย่างเงียบๆ และสีหน้าซีดขาวของเขาก็กลับมามีเลือดฝาดแล้ว กลิ่นไอที่ดูไม่มั่นคงเล็กน้อย ก็ค่อยๆ สงบขึ้นมา

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา