แต่ว่าวันนี้เขาออกจากถ้ำที่พักไปแค่ครึ่งวัน ก็พบเจอกับคนมาท้าสู้ถึงสี่คน แม้ว่านอกจากหลัวเทียนเฉิงแล้ว อีกสามคนก็ล้วนไม่คณามือเขา แต่ก็ทำให้เขาตัดสินใจที่จะหลบทิศทางลมนี้ชั่วคราว
ดังนั้นจึงแขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และเก็บตัวฝึกฝนกับแมงป่องกระดูกและหัวบินในห้องลับ
ผ่านไปไม่กี่วัน เขายังคงได้รับสารจากหอคุมกฎ เรื่องที่เขากับหลัวเทียนเฉิง ฟ่านเจิ้ง และคนอื่นๆ ลงมือกันหน้าวิหารไท่เจิน ซึ่งถูกลงโทษโดยหักทรัพยากรที่นิกายมอบให้เป็นเวลาหนึ่งปี
โทษของหลัวเทียนเฉิงพอๆ กับเขา แต่ฟ่านเจิ้งกลับถูกกักขังอยู่ในเขตยอดเขาสวรรค์ลี้ลับเป็นเวลานานสามปี เพราะเป็นผู้ลงมือก่อน
……
ครึ่งเดือนต่อมา บนลานหินสีดำด้านหน้าวิหารหลักของยอดเขาหลักในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ มีคนมารวมตัวกันอยู่นับพันคน
คนเหล่านี้ต่างก็สวมชุดแตกต่างกันไป จับตัวกันเป็นกลุ่มๆ ละสองสามคน สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่างก็เป็นศิษย์สายในของแต่ละยอดเขา
ท่ามกลางกลุ่มฝูงชน มีคนกลุ่มเล็กๆ สวมชุดสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งซีก อีกครึ่งซีกกลับชุ่มชื้น เขาก็คืออินจิ่วหลิงนั่นเอง
ด้านหลังของเขามีศิษย์สวมชุดยอดเขาลั่วโยวที่เป็นสีดำเหมือนกันยืนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นมีรูปร่างหน้าธรรมดา ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก เขาก็คือหลิ่วหมิงที่มีข่าวลือในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นเอง
รอบด้านของพวกเขาไม่เพียงแต่จะมีเสียงกระซิบกระซาบกันเท่านั้น ยังมีสายตาปราดมองมาอยู่ไม่หยุด บ้างก็รู้สึกตกใจ บ้างก็รู้สึกประหลาดใจ บ้างก็รู้สึกอิจฉา บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม
หลิ่วหมิงย่อมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สังเกตดูทุกอย่างรอบด้านเท่านั้น
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาบนยอดเขาหลัก ดังนั้นย่อมสังเกตดูตำแหน่งศูนย์กลางของหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ที่มีมาตั้งแต่โบราณของแผ่นดินจงเทียนอย่างละเอียด
จะเห็นว่ารอบด้านของยอดเขาหลักมีกลุ่มยอดเขาตั้งอยู่ แต่กลับเตี้ยกว่ายอดเขาหลักมาก มันโอบล้อมยอดเขาหลักไว้ราวกับหมู่ดาวที่ล้อมดวงเดือน
หน้าผารอบๆ ยอดเขาหลักสูงชันเป็นอย่างมาก ตอนที่ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองไปรอบด้าน ทำให้รู้สึกถึงความโปร่งโล่งในขณะที่รับชมทุกสิ่ง
พื้นหลายร้อยจั้งบนยอดเขา นอกจากจะมีลานกว้างแล้ว ก็เป็นวิหารสูงใหญ่ที่สร้างจากหินสีทองไม่ทราบชื่อหลังหนึ่ง ซึ่งครอบครองพื้นที่สิบกว่าหมู่
วิหารหลักมีความกว้างและความสูงสามจั้ง มีลายเส้นจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งประทับอยู่บนนั้น มีอักขระสีทองขนาดใหญ่สลักอยู่ว่า ‘วิหารยอดบริสุทธิ์’ อักขระดูมีพลังเป็นอย่างมาก เผยให้เห็นถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชนตั้งแต่สมัยโบราณ
พอมองออกไปไกลๆ ที่เชื่อมต่อกับวิหารหลักยังมีวิหารข้างที่มีขนาดแค่หนึ่งในสามของวิหารหลักอยู่สองหลัง โดยล้อมรอบวิหารหลักเป็นรูปสามเหลี่ยม
ด้านหน้าวิหารใหญ่ยังมีรูปปั้นของผู้อาวุโสที่สวมชุดนักพรตซึ่งดูราวกับมีชีวิต กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ ใบหน้าเงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่หรี่มองไปบนอากาศ ทำให้รู้สึกถึงความลึกล้ำที่ยากจะหยั่งถึง
ขณะนี้ สายตาของหลิ่วหมิงตกอยู่บนรูปปั้นของผู้อาวุโสท่านนี้ หลังจากขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้ว ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ขณะนั้นเอง ประตูของวิหารใหญ่ที่ปิดสนิท ก็ถูกผลักออกมาจากด้านในโดยฉับพลัน และชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินเคียงบ่าออกมา
ผู้ชายสวมชุดคลุมสีเงิน สะพายกระบี่ยาวตรงหลัง ใบหน้าคมสัน เป็นชายอายุสามสิบกว่าปีที่ดูเคร่งขรึมมาก
ผู้หญิงสวมชุดคลุมสีดำ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวแวววาวราวกับหิมะ ผมยาวสยายลงด้านหลัง นางเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามผู้หนึ่ง
หลังจากทั้งสองออกมาแล้ว ก็ยืนอยู่ทั้งสองด้านของประตูโดยไม่พูดอะไรออกมา
จากนั้นชายวัยกลางคนสวมมงกุฎที่ดูไม่ธรรมดาในชุดคลุมสีเหลือง ก็ค่อยๆ ก้าวออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน คนผู้นี้ก็คือเทียนเกอเจินเหรินที่เป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง
“เอาล่ะ! ในเมื่อมากันครบแล้ว ข้าก็จะประกาศรายชื่อศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์อย่างเป็นทางการแล้ว” พอเทียนเกอเจินเหรินขยับตัว ก็มาปรากฏตัวบนแท่นสูงตรงหน้าลานกว้าง หลังจากกวาดสายตาลงมาแล้ว ก็พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
พอได้ยินประมุขนิกายพูด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบลงทันที ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเงียบเป็นเป่าสาก และสายตาของผู้คนทั้งหมด ต่างก็มองมาที่เทียนเกอเจินเหริน
“หลัวเทียนเฉิงจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ หลงเหยียนเฟยจากยอดเขากระบี่สวรรค์ หลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว……”
“สิบคนนี้ถูกกำหนดให้เป็นศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ชั่วคราว เนื่องจากงานประตูสวรรค์เกี่ยวพันถึงความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของนิกายเราในอีกหลายร้อยปีหน้า เพื่อประโยชน์ของนิกายเรา ศิษย์คนอื่นๆ ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ สามารถท้าสู้ศิษย์ทั้งสิบคนนี้ได้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากเอาชนะได้ ก็จะได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แทน เวลาที่จำกัดคือสามเดือน” เทียนเกอเจินเหรินค่อยๆ ประกาศออกมา
พอคำพูดนี้ดังออกมา ย่อมเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันที่ด้านล่างแท่นสูง ศิษย์จำนวนหนึ่งแสดงสีหน้าคันไม้คันมืออยากจะลองดู สายตาของพวกเขาพากันมองไปยังคนทั้งสิบที่อยู่บนลานกว้าง
ต่อมา เทียนเกอเจินเหรินก็พูดให้กำลังใจฝูงชนอีกรอบหนึ่ง จากนั้นถึงให้คนทั้งหมดจากไป
ขณะที่เทียนเกอเจินเหรินเดินลงแท่นหินนั้น ก็มีศิษย์หลายคนท้าสู้ผู้ที่มีรายชื่อเข้าร่วมพร้อมกัน
อาจเป็นเพราะว่าการต่อสู้อันโด่งดังกับหลัวเทียนเฉิงในก่อนหน้า จึงไม่มีคนไปท้าสู้หลิ่วหมิงชั่วขณะหนึ่ง
หลิ่วหมิงเองก็ขี้เกียจไปดูการประลองของคนอื่นๆ หลังจากกล่าวลาอินจิ่วหลิงแล้ว ก็ขี่เมฆดำกลับถ้ำที่พักทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา