แม้เวินเจิงจะดูเหมือนไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูแข็งทื่อขึ้นมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็โบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากกระบี่บินว่างเปล่าสั่นสะท้าน มันก็กลายเป็นแสงสีทองกะพริบกลับมา และจมหายไปในระหว่างคิ้วของเขาอย่างไร้ร่องรอย
ฉากตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้เจียหลานที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก และเวินอันก็ไม่ยิ้มออกมาเลยแม้แต่น้อย
และในขณะที่ผู้คนยังไม่หายจากอาการตกตะลึง หลิ่วหมิงกลับพร่ามัวมาปรากฏตัวที่เดิมแล้ว
ครู่ต่อมา เงาร่างสีดำกะพริบมาปรากฏตรงหน้าม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมเจียหลานกับเวินอันอยู่
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
จะเห็นว่าขณะนี้มีไอดำรายล้อมรอบตัวของเขา พริบตาเดียวมังกรหมอกดำห้าตัวกับเงาพยัคฆ์หมอกดำห้าตัวก็ปรากฏออกมา!
เกิดเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังไปทั่วฟ้า ทันใดนั้นศิษย์ที่ชมการประลองอยู่ถึงได้สติกลับมา!
จะเห็นว่ากำปั้นคู่ที่มีถุงมือสีเงินปกคลุมอยู่โจมตีออกไปในทันที
กำปั้นวายุสีดำและสีเงินนับไม่ถ้วน พากันร่วงลงบนม่านแสงสีขาวอย่างไร้สุ้มเสียง!
เรื่องที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้านได้เกิดขึ้นแล้ว!
ตอนแรกม่านแสงสีขาวยังคงมีอักขระเปล่งประกายออกมา จนทำให้เงากำปั้นสลายไปจำนวนมาก!
แต่หลังผ่านไปแค่เจ็ดแปดอึดใจ พื้นผิวม่านแสงสีขาวก็มืดลง และเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ อักขระที่เปล่งประกายออกมาก็น้อยลงเรื่อยๆ จนใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว
“ยั้ง…ยั้งมือ ข้า…ยอมแพ้!” เวินอันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาก ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากตะโกนออกมาโดยไม่สนใจภาพพจน์ตัวเองอีก
จะว่าไปแล้ว แม้ค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยนี้ จะมีอานุภาพมาก แต่ว่าก็ใช้พลังในการกระตุ้นไม่น้อย เวินอันผู้นี้ปรับแต่งมันด้วยการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง สามารถแสดงอานุภาพออกมาได้ห้าส่วน ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว ในขณะที่หลิ่วหมิงอาศัยพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬในการแสดงวิชาเกราะอสูร โจมตีติดต่อกันหลายครั้ง มันย่อมไม่อาจยืนหยัดได้นาน
และเวินอันเองก็ไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้เป็นเวลานาน ได้แต่หวังว่าการกระตุ้นวิชาคำสาปพิบัติ จะสามารถโจมตีหลิ่วหมิงจนพ่ายแพ้ได้ จากนั้นก็จะเหลือเจียหลายเพียงคนเดียว แพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป
“ผู้อาวุโส การประลองในครั้งนี้สามารถประกาศผลได้หรือยัง?”
พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงขอความเมตตาจากฝ่ายตรงข้าม ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เงากำปั้นหยุดการโจมตี จากนั้นถึงแหงนหน้ามองผู้อาวุโสชุดขาว และถามด้วยสีหน้าสงบ
ตอนนี้พลังเวทภายในร่างของเขาก็เหลือไม่มาก ร่างกายและจิตใจถูกทรมานจนรู้สึกอ่อนกำลังลงมาก หากไม่ใช่ว่ามีหนอนพลังจิตอยู่กับตัว และมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งล่ะก็ ตอนนี้อาจจะหน้ามืดหมดสติไปแล้วก็ได้ๆ
“ได้…การประลองนี้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าขอประกาศให้หลิ่วหมิงกับเจียหลานชนะ!” ผู้อาวุโสชุดขาวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ก็เพิ่งได้สติขึ้นมาจากอาการตกตะลึง หลังจากมองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่งแล้ว ก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดัง
พอคำพูดนี้ดังออกมา ฝูงชนด้านนอกม่านแสงที่ถูกฉากการประลองในตอนท้ายทำให้รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ถึงได้สติกลับมา และเกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ เกราะหนังสีเงินบนตัวหายไปในพริบตา หลังจากนำโอสถจินหยวนออกมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ถึงนั่งขัดสมาธิลงบนลานประลอง และหลับตาทำการกลั่นเอาพลังของโอสถ
แม้ว่าศึกในก่อนหน้าจะใช้เวลาแค่สั้นๆ แต่ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังจิตโดยตรง ซึ่งยากที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้
และพอพลังของโอสถถูกกลั่นออกมา พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณที่เกือบเหือดแห้ง ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ ตอนนี้สีหน้าของหลิ่วหมิงถึงดูดีขึ้นมาหน่อย
ขณะนี้ ม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมเจียหลานและเวินอันอยู่ ก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็พังทลายลงมา เผยให้เห็นเวินอันที่มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
หลังจากเจียหลานหลุดออกจากชั้นจำกัดแล้ว ก็รีบเก็บโซ่เงินทันที และก็กะพริบมายืนเฝ้าอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ
แต่ว่าในขณะนี้ ดวงตางดงามของนางไม่ยอมละไปจากหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย
ในมุมบางแห่งท่ามกลางฝูงชน ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่มีใบหน้าแคบยาว กำลังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด
เขาก็คือซาทงเทียนที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ในขณะที่หลิ่วหมิงเอาชนะได้นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกยกภูเขาออกจากอก แต่ว่าไม่นาน ท่าทีของเจียหลานก็ทำให้เขารู้สึกอึ้งไปอีกครั้ง ในใจรู้สึกซับซ้อนเป็นอย่างมาก
……
“สายตาของเจ้าแม่นยำจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงจะอาศัยพลังของกายเนื้อ ต้านทานคาถาคำสาปพิบัติติดต่อกันได้ถึงสามครั้ง ต่อให้จะนับรวมศิษย์เก่าไปด้วย พลังของเขาก็สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้แล้ว มีเขาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ดูท่านิกายเราคงมีโอกาสชนะมากขึ้น ต้องชมที่เจ้ามองเห็นเจ้าเด็กนี่ มันช่วยข้าได้มากเลย” ในมิติลึกลับ เทียนเกอเจินเหรินมองดูจินเทียนชื่อด้วยสายตาที่ลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต้องบอกว่าท่านช่วยข้าถึงจะถูก” จินเทียนชื่อมองดูเทียนเกอเจินเหรินทีหนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หืม! คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” เทียนเกอเจินเหรินถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
จินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ และไม่ตอบอะไรกลับไป ทันใดนั้น พอเขาสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง แสงเรืองรองจางๆ ก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มร่างของเขาไว้ จากนั้นก็กลายเป็นแสงดาวพร่างพราวหายไป
……
ภายในห้องโถงของพระราชวังที่มีไอสีเทาปกคลุมเป็นชั้นๆ
“ฮึ! มีอย่างที่ไหนกัน!” ผู้อาวุโสชุดดำยกมือข้างหนึ่งด้วยสีหน้าโมโห ไอดำม้วนตัวเข้าใส่จานจิตวิญญาณที่ลอยอยู่ตรงหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา