พร้อมกับที่ดวงดาราเคลื่อนที่เปลี่ยนผัน ภาพสัญลักษณ์มังกรครามสีน้ำเงินมหึมาภาพหนึ่งก็เริ่มปรากฏขึ้นในค่ายกลแสงดาวช้าๆ แลดูโหดเหี้ยมดุร้าย ยิ่งใหญ่มโหฬารอย่างยิ่ง
“ภาพสัญลักษณ์เจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม!” หลังโอวหยางเชี่ยนเห็นภาพมหัศจรรย์จากการเปลี่ยนผันของดวงดาวภาพแล้วภาพเล่าในบึงน้ำก็อดไม่ได้หลุดพูดออกมา
ในดวงตาของสตรีชุดเขียวข้างกายนางก็เผยแววตาเข้าใจขึ้นมาเล็กๆ ด้วย
“เจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม ถึงกับเป็นค่ายกลมหัศจรรย์ยุคโบราณอันนี้เชียว!” เผิงเยวี่ยพึมพำกับตัวเอง สีหน้าแลดูตื่นเต้นอยู่บ้าง เห็นชัดว่าเคยได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของค่ายกลนี้มาก่อนเช่นกัน
หลิ่วหมิงกลับทำหน้างงงัน ท่าทางเหมือนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลนี้มาก่อน
พูดไปแล้วเขาก็ไม่ได้ศึกษาศาสตร์ค่ายกลลึกซึ้ง ศึกษาเพียงเพื่อหลอมศาสตรา จึงเข้าใจเล็กน้อยเท่านั้น
เวลานี้ด้านบนบึงน้ำสีเงินฉับพลันไหวกระเพื่อม กลางอากาศปรากฏอักษรแสงสีเงินแถวแล้วแถวเล่าเขียนว่า
‘เจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม ดาราเปลี่ยนผันปรากฏรูปลักษณ์ ฐานรากคือความลี้ลับ คือเจ็ดความลี้ลับ ผู้บรรลุการเปลี่ยนผันของค่ายกลนี้จะเข้าสู่ด่านต่อไปได้ คนแรกที่บรรลุจะได้รางวัลพิเศษเป็นทรายธารดาราหนึ่งถุง!’
เห็นถึงตรงนี้ ทั้งสี่คนพลันหายใจแรงขึ้น
ทรายธารดาราเป็นวัตถุดิบหลอมศาสตราที่สาบสูญไปจากแผ่นดินจงเทียนนานแล้วชนิดหนึ่ง มีเอ่ยถึงในบันทึกโบราณที่ตกทอดมาจากสมัยโบราณอยู่บ้างเท่านั้น เล่ากันว่าวัตถุดิบชนิดนี้กำเนิดมาจากธารดาราบนฟากฟ้า เป็นหนึ่งในวัตถุดิบระดับสูงที่สุดสำหรับหลอมอาวุธเวท
ของรางวัลเล็กน้อยอย่างหนึ่งของแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็ไม่อาจดูแคลนได้!
ตัวอักษรขนาดเล็กสีเงินปรากฏแวบเดียวก็หายไป พวกหลิ่วหมิงร่างกายผ่อนคลายลงและพบว่าจิตสัมผัสสามารถออกจากร่างได้แล้ว
พวกเขาทั้งตกตะลึงทั้งยินดี ต่างคนไม่สนใจผู้อื่นรีบทยอยกันนั่งขัดสมาธิข้างบึงน้ำ เริ่มลองบรรลุการเปลี่ยนผันนับพันของเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามในทันใด
……
ในเวลาเดียวกันนั้นสุดปลายอุโมงค์กลมสีทองเรืองรองที่สลักภาพสัญลักษณ์พระอาทิตย์ไว้
บุรุษผมม่วงยืนตัวตรงอย่างยโส ตำหนักสีเหลืองทองโออ่าใหญ่โตหลังหนึ่งฉับพลันผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าเขาท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง
ตำหนักโอ่อ่าหลังนี้เป็นสีเหลืองทองทั้งหลัง สูงสิบกว่าจั้ง กว้างหลายสิบจั้ง ไม่นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างมหึมาเป็นพิเศษ แต่แลดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม บรรยากาศกว้างขวางอย่างยิ่ง นอกจากนี้ประตูตำหนักก็ยังปิดสนิทอย่างน่าเคารพ ทำให้คนรู้สึกถูกบีบคั้นให้ยอมจำนน
เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง หลังร่างบุรุษผมม่วง หมอกหนาสีเงินที่ล้อมรอบเงาร่างของคนผู้หนึ่งบินเร็วรี่มาถึง
แสงสีเงินกะพริบวูบหนึ่ง หลัวเทียนเฉิงก็ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาจากด้านใน ร่างกายเขาขยับวูบหนึ่งก็มายืนอยู่ด้านซ้ายของตำหนักสีเหลืองทองห่างจากบุรุษผมม่วงราวสิบจั้ง
บุรุษผมม่วงเพียงเชยตาขึ้นเหล่มองหลัวเทียนเฉิงนิ่งๆ ทีหนึ่งแล้วละสายตาออก เขายังคงยืนนิ่งสงบอยู่ไกลๆ คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่งเงาดำกลุ่มหนึ่งบินร่อนลงมา ชายหนุ่มตาเล็กจมูกบี้ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับนั่นเอง
บุรุษผมม่วงหันไปมองศิษย์อัปลักษณ์กับหลัวเทียนเฉิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม
“นอกจากพวกเจ้าสองคน ยังมีผู้อื่นเข้ามาในอุโมงค์เส้นนี้อีกไหม?”
สิ้นเสียงพูด เสียงบานพับประตูบิดหมุนดังกึกๆ พักหนึ่งก็ดังลอยออกมา ประตูตำหนักของตำหนักสีเหลืองทองค่อยๆ เปิดออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงด้านในของตำหนัก
“ดียิ่ง! ดูท่าคงมีเพียงพวกเราสามคนแล้ว!”
บุรุษผมม่วงระเบิดเสียงหัวเราะรอบหนึ่ง ร่างกายพลันพุ่งรวดเร็วไปเบื้องหน้าเข้าไปในตำหนักสีทอง
หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์จากนิกายปีศาจลี้ลับสบตากันทีหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่ยอมรั้งท้ายผู้อื่น พากันทะยานร่างเข้าไปในตำหนักสีทองเช่นกัน
หลังทั้งสามคนเข้าไปในตำหนักใหญ่หมดแล้ว เสียงเปรี้ยงก็ดังขึ้น ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าพริบตาดังขึ้นทั่วตำหนักใหญ่
บุรุษผมม่วงเข้ามาในตำหนักคนแรก สายตากวาดมองเล็กน้อยก็เห็นทุกสิ่งภายในตำหนักเหลืองทองได้อย่างชัดเจน
ตำหนักใหญ่สีทองอร่ามกลับว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด เสาตำหนักสีเหลืองทองหนาสามต้นค้ำเพดานตำหนักทั้งหมดไว้ ด้านล่างเสาตำหนักแต่ละต้นวางเบาะกลมสีเหลืองทองเบาะหนึ่งเอาไว้ เหนือศีรษะแขวนระฆังทองยักษ์อยู่หนึ่งใบ
ชายหนุ่มผมม่วงพิจารณาสี่ด้านรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดสายตาก็จับจ้องอยู่บนกำแพงด้านหน้าของตำหนักใหญ่
บนกำแพงอักษรเก่าแก่ตัวแล้วตัวเล่าเรียงรายแผ่มากมายเต็มกำแพงทั้งผืน บางครั้งยังมีอักขระประหลาดจำนวนหนึ่งแทรกอยู่ด้านในด้วยคล้ายบันทึกวิชาลับสักวิชาไว้
เสียงเสื้อผ้าแหวกอากาศดังลอยมาเลือนราง หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับทยอยเคลื่อนกายเข้ามาด้วย ร่างกายของทั้งสองคนเพิ่งร่อนลงมั่นคง สายตาก็พลันกวาดรอบด้านจับอยู่บนกำแพงแล้ว
ตอนนี้เองระฆังทองเหนือศีรษะก็เริ่มขยับทั้งที่ไม่มีลม
เสียงระฆังประหลาดดังขึ้นระลอกหนึ่ง ซึมตรงเข้าไปยังเบื้องลึกของหัวใจคนประหนึ่งเสียงสวดภาษาสันสกฤตกับระฆังเช้าค่ำ
ทั้งสามได้ยินเสียงระฆังหัวใจพลันสะท้าน พากันเงยศีรษะมองไปกลางอากาศ
เห็นเพียงใต้ระฆังทองค่อยๆ ปรากฏอักษรแสงสีทองเรืองๆ ตัวแล้วตัวเล่าเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา