มองไปรอบด้านไม่เห็นปลายทางสักนิด นอกจากนี้ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใด หมอกร้อนสีขาวชั้นแล้วชั้นเล่าลอยปกคลุมอยู่อย่างสิ้นเชิง
ใต้ไอหมอกร้อนผ่าวสีขาวเวิ้งว้างกลับเป็นทะเลเพลิงลุกโหมผืนหนึ่ง มีควันสีขาวสายแล้วสายเล่าลอยละล่องขึ้นมาจากทะเลเพลิงค่อยๆ ก่อตัวเป็นหมอกขาวร้อนผ่าวกลางอากาศ
ใจกลางทะเลเพลิงร้อนสีแดงฉานผืนนี้ ท่ามกลางหมอกสีขาวที่ปกคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า แท่นทองแดงมหึมาโอ่อ่าสามแท่นลอยอยู่กลางอากาศ
แท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยมสามแท่นที่รอบด้านมีสนิมสีเขียวและปรากฏตัวอักษรประปรายลอยอยู่ห่างผิวทะเลราวยี่สิบสามสิบจั้ง แท่นทองแดงยาวราวหนึ่งร้อยจั้ง กว้างก็ราวหนึ่งร้อยจั้ง ทั้งสี่ด้านราบเรียบอย่างยิ่ง
เสียงชือๆ ดังขึ้นชั่วขณะ กลางอากาศเหนือแท่นทองแดงแท่นหนึ่งในนั้นก็มีคลื่นไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่งเกิดขึ้น ค่ายกลที่ส่องแสงสีทองค่ายกลหนึ่งปรากฏออกมาจากกลางอากาศจากนั้นชั่วพริบตาพังทลายสลายไป เงาคนสีน้ำเงินร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากตรงกลาง
นั่นก็คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งผ่านการทดสอบด่านก่อนหน้าแล้วถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่
หลิ่วหมิ่งร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง เขายืนมั่นคงอยู่บนแท่นทองแดง แล้วถึงลืมตาสองข้างขึ้นอีกครั้ง เขามองทุกสิ่งรอบด้านก่อนจากนั้นตะลึงเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา
หมอกสีขาวรอบด้านแท่นทองแดงนี้รวมตัวกันหนาอย่างยิ่ง จิตสัมผัสของเขาไม่อาจทะลุผ่านไปได้แม้แต่น้อย
ส่วนเพลิงร้อนแรงในทะเลเพลิงด้านล่างก็คล้ายไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา หลังจิตสัมผัสของเขากวาดผ่านไปกลับมีความรู้สึกร้อนระอุผิดธรรมดาส่งกลับมา เปลวเพลิงทั่วไปไม่มีทางทำเช่นนี้ได้เด็ดขาด
เวลานี้เองอากาศด้านบนก็ไหวกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลที่ส่องแสงสีทองอีกค่ายกลหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า หลังส่องสว่างแล้วดับลง เงาคนสีเขียวร่างหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่ง ร่างนั้นก็ยืนมั่นคงอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้าเขา
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไป เงาร่างสีเขียวนี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือสตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานนั่นเอง
นางตั้งสติ จากนั้นมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ ทีหนึ่งแล้วเริ่มหันหน้ามองไปยังไอหมอกสีขาวนอกแท่นทองแดงสีเขียว
ผลปรากฏว่านาทีต่อมานางก็ขมวดคิ้วงามน้อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของที่แห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงกับสตรีชุดเขียวก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงกะทันหันที่ส่งออกมาจากแท่นทองแดงสีเขียวใต้เท้าพร้อมกัน
หลังแรงสั่นสะเทือนรุนแรงระลอกหนึ่ง สนิมทองแดงสีเขียวตรงขอบแท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยมที่ทั้งสองคนยืนอยู่ก็ค่อยๆ หลุดลอกออก เผยหน้าตาดั้งเดิมด้านใน
ขอบนอกรอบด้านแท่นทองแดงมหึมามีอักษรสีทองลี้ลับจารึกไว้มากมายถี่ยิบ พร้อมกับที่สนิมสีเขียวค่อยๆ หลุดลอก แสงลี้ลับสีทองแสบตาสายแล้วสายเล่าก็ส่องออกมาจากอักขระจารึกสีทองในทันใด
แสงสีทองชั่วพริบตาส่องสว่างไสวหมื่นจั้ง แสงสีทองระลอกแล้วระลอกเล่าพุ่งตรงไปยังชั้นเมฆ คลุมทั้งแท่นทองแดงสีเขียวอย่างรวดเร็ว
เมื่อแสงลี้ลับสีทองไหลเคลื่อนช้าๆ ดึงดูดหมอกสีขาวร้อนระอุกลางอากาศให้ค่อยๆ รวมตัวกันเข้าไปหาแสงสีทอง
หมอกทึบสีขาวเบี่ยงเข้าหาแสงลี้ลับสีทองไม่หยุด ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเกราะแสงโปร่งใสรูปสี่เหลี่ยมสีทองขาวสองสีชั้นหนึ่งตามขอบของแท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยม
เกราะแสงชั้นนี้มีหมอกสีขาวเป็นพื้นกับเส้นด้ายสีทองสายแล้วสายเล่าที่ขยับไม่หยุด แลดูบางล่องลอยอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงตกตะลึง ทว่ามองผ่านเกราะแสงโปร่งใสออกไป แท่นทองแดงมหึมาที่เหมือนกันทุกประการอีกสองแท่นซึ่งห่างไปหลายร้อยจั้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มีเกราะแสงสีทองขาวสองสีชั้นหนึ่งผุดขึ้นมาด้วย….
ในเวลานี้บนแท่นทองแดมหึมาสองแท่นก็มีเงาคนขยับไหวอยู่เลือนรางเช่นกัน
หลังหลิ่วหมิงเพ่งมองให้ละเอียดถึงเห็นชัดว่าแต่ละแท่นทองแดงเป็นหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วง ซึ่งกำลังประจันหน้าระวังกันอยู่
แท่นทองแดงอีกแท่นหนึ่งบุรุษรถเงินยืนอยู่เพียงลำพัง เขามองมายังแท่นทองแดงอีกสองแท่นผ่านม่านแสงล่องลอยสีทองขาวสองสีอย่างสงสัยใคร่รู้
ทันใดนั้นในอากาศตรงกลางของแท่นทองแดงสีเขียวทั้งสาม ไอหมอกสีเขียวครามสายหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาก่อตัวขึ้นเป็นอักษรแสงสีเขียวครามแถวแล้วแถวเล่าช้าๆ
“คนที่อยู่แท่นทองแดงเดียวกันต่างเป็นคู่ต่อสู้ของกันและกัน ไม่สนเป็นตาย ขอเพียงต่อสู้ชนะอีกฝ่ายจะเข้าด่านต่อไปได้ ผู้ที่ยอมแพ้หรือตายจะถูกเคลื่อนย้ายจากไปเอง คนที่เหลืออยู่จึงเป็นผู้ชนะของด่านนี้! หากผู้ใดไร้คู่ต่อสู้ถือว่าชนะทันที”
หลังตัวอักษรสีเขียวครามคงอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยๆ กลายเป็นไอหมอกสายแล้วสายเล่าลอยล่องหายไป
เห็นเช่นนี้ แววตาของหลิ่วหมิงก็ทอประกายเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปหาสตรีชุดเขียว สบตากับอีกฝ่ายพอดี
แววตาหลัวเทียนเฉิงก็ทอประกายเย็นเยียบมองไปหาบุรุษผมม่วงเช่นกัน พวกเขาเดินมาถึงตรงนี้ย่อมไม่มีทางมีคนเลือกถอย
ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้กลับหัวเราะเบาๆ
เห็นชัดว่าเขาคือผู้โชคดีที่ไม่มีคู่ต่อสู้คนนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นก็เข้าสู่ด่านต่อไปได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงเดาเรื่องนี้ได้ลางๆ ตั้งนานแล้ว หลังเขามองสตรีฝั่งตรงข้ามทีหนึ่งก็ยิ้มประสานมือเอ่ยว่า
“สหาย ดูแล้วครานี้ไม่ลงมือคงไม่ได้ ข้าได้แต่ล่วงเกินแล้ว!”
“ข้าได้ยินว่าสหายหลิ่วเป็นศิษย์รุ่นใหม่เพียงคนเดียวของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ฝีมือทัดเทียมกับหลัวเทียนเฉิง ได้ประจักษ์พลังสักเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ปรารถนาอย่างยิ่ง!” สตรีชุดเขียวได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ
บนใบหน้าหลิ่วหมิงไม่มีสีหน้าประหลาดแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับสะท้านไหวเบาๆ
สตรีชุดเขียวรู้เรื่องที่เขากับหลัวเทียนเฉิงเคยประมือกันในนิกาย นี่เหนือความคาดคิดอยู่มาก ดูท่าสตรีผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา