ไม่นานนักคนที่เข้าร่วมการฝึกฝนไม่น้อยก็พากันปรากฏร่างขึ้นในก้อนแสงขนาดยักษ์ แล้วร่อนลงมาช้าๆ
ไม่นานบนพื้นที่ว่างตรงกลางยอดเขาหิมะที่เดิมทีว่างโล่งก็ปรากฏคนสองสามร้อยคน นอกจากนี้จำนวนคนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์แต่ละนิกายที่เข้าไปในประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่สีหน้ามึนงง คล้ายไม่เข้าใจที่ตนเองถูกเคลื่อนย้ายออกมากะทันหัน
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนร่างคนเหล่านี้แล้วอดไม่ได้เลิกคิ้วสองข้างเล็กน้อย
โซ่โชคชะตาบนข้อมือของคนเหล่านี้หายไปไร้ร่องรอยไม่มีเว้นสักคน
แต่พวกตนสิบเอ็ดคนด้านนี้ โซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือกลับยังคงอยู่ดีบนข้อมือ
ครู่ต่อมาหลังลูกบอลแสงยักษ์ที่มีสีดำขาวขนาบกันหมุนวนกลางอากาศพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็แยกออกเป็นครึ่งสีขาวกับครึ่งสีดำ
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ลำแสงหนาประหนึ่งถังน้ำสองสายสีดำขาวก็พุ่งเร็วรี่ไปยังแผ่นกลมในมือทูตวังสวรรค์สองคน
แสงเรืองรองแวววาวสว่างขึ้นบนแผ่นกลมพักหนึ่ง ลำแสงสองสายก็กะพริบจมหายไปด้านใน หายไปไร้ร่องรอย
ในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาลูกหนึ่งไม่ไกลจากทางเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์ เทียนเกอเจินเหรินกับบุรุษชุดเทาที่นั่งขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น พวกเขาเผยสีหน้าฉงนมองไปยังยอดเขาหิมะที่อยู่ไม่ไกล
“ท่านประมุข การฝึกฝนในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้คล้ายจะจบลงกะทันหัน ดูท่าคงเป็นดังที่ท่านคาดไว้ก่อนหน้านี้ ในแดนลึกลับจะต้องเกิดความผิดปกติอันใดอย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษชุดเทาเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ไม่รู้ว่าเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงเด็กคนนี้ที่แท้ประสบเรื่องราวดันใด หากทั้งสองคนนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าการจัดอันดับครั้งนี้ของนิกายเราคงย่ำแย่กว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ใช่เล็กน้อยแล้ว” เทียนเกอเจินเหรินถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง
“ท่านประมุขไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อชื่อของศิษย์เหล่านั้นไม่ได้หม่นแสงลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งผู้เฒ่าเทียนเหอผู้นั้นยังเข้าไปในประตูสวรรค์ด้วยตนเอง แม้มีเรื่องไม่คาดฝันอันใดก็น่าจะรับประกันได้ว่าไม่ต้องกังวลใจ” บุรุษชุดเทาเอ่ยอย่างปลอบประโลม
“ลองไปดูก่อนค่อยว่ากันเถอะ” หลังเทียนเกอเจินเหรินเอ่ยนิ่งๆ ประโยคหนึ่งก็แปลงเป็นลำแสงเรืองรองสองสายไปยังยอดเขาหิมะพร้อมกับบุรุษชุดเทา
เวลาเดียวกันนี้ในสิ่งก่อสร้างที่พำนักของตระกูลมู่หรงที่ตีนเขาหิมะ ผู้เฒ่าชุดดำผู้นั้นก็แหงนศีรษะมองภาพสถานการณ์บนยอดเขาหิมะที่ปรากฏในลูกบอลผลึกซึ่งมีปราณดำวนเวียนอยู่ลูกหนึ่งเบื้องหน้า สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในนั้นย่อมเป็นป้ายศิลายักษ์นั่น
“แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดงานประตูสวรรค์ครั้งนี้จึงจบลงกะทันหัน ทว่าจากที่ดูตอนนี้ ตระกูลมู่หรงของพวกเราน่าจะเข้าไปหนึ่งในสามอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
ผู้เฒ่าชุดดำสะบัดพัดขนนกในมือ หลังเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ ออกมาอีกหนก็หมุนร่างออกจากห้องลับกลายเป็นแสงสีดำหอบหนึ่งลอยไปทางยอดเขาหิมะ
ในที่พักของสำนักเฮ่าหราน บัณฑิตวัยกลางคนชุดขาวสองคน เวลานี้สีหน้าเคร่งขรึมสนทนาอันใดเสียงเบาอยู่
“ศิษย์พี่ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้จบลงเช่นนี้ได้อย่างไร ลำดับตอนนี้ไม่ดีกับสำนักเฮ่าหรานของพวกเราอย่างที่สุด ครั้งนี้แม้บอกว่าเตรียมตัวไม่เต็มที่ แต่มีหานโยวสตรีผู้นี้ออกโรงก็ไม่น่าถึงกับตกลงมาถึงขั้นนี้กระมัง?” บัณฑิตวัยกลางผู้มีใบหน้าเมตตาคนหนึ่งในนั้นคิ้วขมวดเล็กน้อยเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“สตรีผู้นี้ก่อนหน้านี้ยังอยู่อันดับแปด แต่ไม่ทราบเกิดเรื่องใดขึ้น ชื่อหม่นแสงไปไม่สว่างขึ้นมา ได้ยินว่านางถูกผู้เฒ่าเทียนเหอช่วยออกมาจากแดนลึกลับด้วยตนเอง นอกจากนี้ศิษย์สิบคนของสำนักเราที่เข้าร่วมแข่งขันมีห้าคนตกตายไป เรื่องนี้ในงานครั้งก่อนๆ ก็ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก” ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพที่อายุมากอยู่บ้างอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ในเมื่องานจบสิ้นลงแล้ว พวกเราก็ไปดูสภาพด้านนั้นก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
ทั้งสองคนออกจากที่พำนักในทันที ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพยกแขนเสื้อขึ้นเรียกกระเรียนหน้าผากแดงขนาดไม่กี่จั้งตัวหนึ่งออกมา มันแบกทั้งสองคนขึ้นหลังกลายเป็นแสงสีขาวดวงหนึ่งบินไปยังยอดเขา
พร้อมกับที่ข่าวเรื่องงานประตูสวรรค์จบลงก่อนเวลาแพร่ออกไป ผู้อาวุโสจากนิกายและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ยิ่งพากันปรากฏตัวมากขึ้นทุกที พวกเขาบินเร็วรี่มายังทางเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์
“หลิ่วหมิงเด็กคนนี้ถึงกับยังมีชีวิตอยู่ หลงเซวียนอยู่ข้างตัวเจ้าเด็กนี่ทำไมยังลงมือสังหารเขาไม่ได้? พลาดโอกาสนี้ไปยามใดถึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้หลานชายของข้าอีก” ในสายลมสีดำหอบหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อาจารย์ หน้าตาของคนผู้นี้ยามนี้พวกเรารู้ชัดแล้ว วันหน้าโอกาสยังมีอีกมากไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้ หลังจากนี้ค่อยให้คนอื่นลงมือก็เหมือนกัน” บุรุษหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่งข้างกายเขาเอ่ยอย่างนอบน้อม
“แม้หลงเซวียนยังหยุดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลาย แต่พลังสูสีทัดเทียมกับเจ้า เขายังลงมือไม่สำเร็จ จะให้ข้าส่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กลุ่มหนึ่งไปไล่ล่าสังหารหลิ่วหมิงงั้นหรือ? ต่อไปใช้สมองก่อนแล้วค่อยพูดกับข้า”
สายลมสีดำถาโถมเพิ่มความเร็วในทันใด เสียง “ควับ” ดังขึ้นทีหนึ่งก็หายไปจากที่เดิม
เวลานี้ใจกลางเวทีบนยอดเขาหิมะศิษย์จากนิกายใหญ่และตระกูลต่างๆ รวมตัวกันอยู่ถึงห้าหกร้อยคน ผู้คนล้อมมุงดูอยู่รอบด้านมากถึงนับพันคน ชั่วขณะหนึ่งที่แห่งนั้นวุ่นวายอย่างที่สุด
พวกหลิ่วหมิง เผิงเยวี่ยกับชายหนุ่มรถเงินนั่งสงบโคจรปราณอยู่ที่เดิม ฟื้นพลังไปพลาง รอคอยคนของแต่ละนิกายเดินทางมารับไปพลาง
แสงสีขาวเรืองรองแถบหนึ่งพุ่งเข้ามาร่อนลงเบื้องหน้าผู้คน หลังแสงเรืองรองดับลงก็เผยผู้เฒ่าคิ้วขาวผู้หนึ่ง คนที่นำคณะของตระกูลโอวหยางมานั่นเอง
“โอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินคารวะปู่รอง!” โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินเห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปข้างหน้าสองสามเก้าประสานมือคารวะไปทางผู้เฒ่าคิ้วขาวแล้วเอ่ยขึ้นทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา