หลิ่วหมิงฝึกฝนทุกวันจนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อีกครั้ง ทั้งเวลานี้เขายังควบคุมเงาได้คล่องดั่งใจยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ระดับความเป็นวัตถุของเงาและคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมายิ่งใกล้เคียงกับร่างต้นขึ้นทุกที
แต่การผนึกเงาที่สามกลับยังไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์
ดังนั้นเขาจึงเพิ่มความยากขึ้นอีกครั้งอย่างไม่รีรอ
เวลาผ่านไปทีละน้อย หนึ่งปี สองปี พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกห้าปี
ปราณดำห้อมล้อมร่างต้นของหลิ่วหมิงจนทั้งร่างประหนึ่งดวงวิญญาณสีดำเคลื่อนทะลุผ่านกลางป่าศิลาอย่างว่องไว ไม่มีเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย
ข้างกายเขายังคงเป็นเงาที่ลักษณะภายนอกเหมือนกับเขาทุกประการสองร่าง แต่เงาสองร่างนี้สมบูรณ์กว่าก่อนหน้านี้มากอย่างเห็นได้ชัด มือเท้าครบถ้วน กระทั่งเครื่องหน้าบนใบหน้าก็เห็นชัดเจน
เมื่อมีปราณดำพลุ่งพล่านพร้อมทั้งเคลื่อนที่เร็วจี๋ก็แทบมองไม่เห็นความแตกต่างกับร่างต้นแม้แต่นิด
ตัวเขาในวันนี้ พริบตาที่ร่างกายเผชิญสภาพแวดล้อมอันตรายจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบด้านได้อย่างไม่ต้องคิด ระหว่างที่วิ่งรวดเร็วอยู่ ร่างกายจะปรับเป็นองศาที่ดีที่สุดตามสภาพแวดล้อมรอบด้านดั่งตอบสนองตามเงื่อนไข
ทั้งเขายังไม่จำเป็นต้องตั้งใจควบคุมเงาสองร่างข้างกายอีกแล้ว ราวกับว่าพวกมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตน
เพียงแค่คิด เงาก็ขยับตาม
จิตของเขาคล้ายจะเข้าสู่สภาวะอันยอดเยี่ยมบางประการอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทุกสิ่งรอบด้านคล้ายสงบนิ่งทั้งที่กำลังเคลื่อนเร็วจี๋
ลึกลงไปในร่างเขาความรู้สึกปั่นป่วนสายหนึ่งผุดออกมา
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทในร่างแทบจะโดยสัญชาตญาณ ปราณดำรอบร่างฉับพลันลุกโหม ชั่วพริบตาด้านหลังร่างเขาก็ปรากฏเงาที่สามออกมา!
พริบตานั้นที่เงาสีดำสนิทร่างที่สามปรากฏขึ้นหลังร่างเขา มันก็วิ่งเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับเงาร่างทั้งสามที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าความเร็วหรือหน้าตาภายนอกมองความแตกต่างไม่ออกแม้แต่น้อย
กระบวนการนี้เป็นธรรมชาติคล้ายกับว่าเขาไม่ได้ใช้ผนึกเงาที่สาม แต่เหมือนเงาที่สามน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา
เพียงพลัดหายไปหลายปี ตอนนี้กลับมาแล้ว!
ก็คงเป็นความรู้สึกเช่นนี้!
วันนี้เงาทั้งสามร่างนี้แต่ละร่างล้วนเริ่มแผ่คลื่นพลังเวทจางๆ ออกมา ดูแล้วมีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง
ในที่สุดก็ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนก้าวสุดท้ายสำเร็จ
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็หลุดออกมาจากสภาวะสงบนิ่งท่ามกลางความเร็วนั้น บนใบหน้าเผยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งออกมาทันที
จากนั้นเมื่อเขาคิด ร่างกายก็กลายเป็นเงาดำสายหนึ่งพุ่งทะยานออกไป เงาสามร่างก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน
มองจากไกลๆ ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอก การเคลื่อนไหวหรือคลื่นพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาก็แยกไม่ออกสักนิดว่าเงาคนสีดำทั้งสี่ร่างไหนถึงเป็นร่างต้นของเขา!
หลิ่วหมิงอารมณ์ดีอย่างที่สุด ความเร็วไวว่องขึ้นทุกที เงาดำสี่ร่างเดี๋ยวแยกเดี๋ยวรวมตัว จุดที่ผ่านไปปรากฏเงาติดตานับไม่ถ้วน แม้มีเงาดำเพียงสี่ร่าง แต่ดูเหมือนมีเงาคนนับพันนับร้อยบินทะลุทะลวงไปทุกหนทุกแห่ง
ทันใดนั้นเงาคนทั้งหมดก็รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคนเดียว ยืนนิ่งอยู่บนยอดศิลาก้อนหนึ่ง
หลิ่วหมิงนั่นเอง
เวลานี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ่งกว้างขึ้นอีก ในดวงตาก็ฉายแววพึงพอใจเล็กน้อยเช่นกัน
เขารู้สึกได้ว่าวิชาเงาสามส่วนขั้นสมบูรณ์คงใช้ประโยชน์ในสถานการณ์จริงได้เพิ่มขึ้นมาก
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือพลังเวทที่ใช้ก็หมดลงเร็วกว่าเดิมมากด้วย
แต่ในเมื่อวิชานี้เป็นขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว เขาจึงหยุดฝึกฝนวิชานี้ทันที หลังใคร่ครวญพักหนึ่งก็ตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือฝึกฝนการต่อสู้จริงด้วยดวงตามายาของศิลาหุนเทียน
………
ปีที่สามสิบที่หลิ่วหมิงเข้ามาในแดนมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับ
เงาคนสีดำร่างหนึ่งกับผู้ที่มีแสงอสนีบาตสีม่วงล้อมรอบร่างผู้หนึ่งกำลังไล่ล่ากันอยู่กลางหมู่เขาร้าง
นั่นคือหลิ่วหมิงกับเลี่ยเจิ้นเทียนปีศาจสายฟ้าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์แห่งหนานฮวง!
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงก็เคยจำลองการต่อสู้กับปีศาจสายฟ้าในแดนมายาอยู่ แต่เวลานั้นเขาฝึกฝนวิชาหลบหนีของเขาเป็นหลัก แต่ครั้งนี้เขาคิดจะประมือกับปีศาจสายฟ้าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์คนนี้ซึ่งหน้า
เขาไม่ได้เพ้อฝันว่าจะสู้ชนะผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้ได้ เขาหวังจะฝึกปรือความสามารถในการพลิกแพลงสถานการณ์เมื่อประมือกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เท่านั้น
แสงกระบี่สีทองอ่อนสายหนึ่งใต้เท้าหลิ่วหมิงยกร่างเขาลอยเคลื่อนลดเลี้ยวระหว่างหมู่เขาเกิดเป็นเงาติดตาร่างแล้วร่างเล่า ร่างกายว่องไวอย่างที่สุด
ด้านหลังอสนีบาตสีม่วงรอบร่างปีศาจสายฟ้าหนาทึบขึ้นจนกลายเป็นแสงสายฟ้าเส้นหนาที่ฉีกทึ้งทุกอย่างได้สายหนึ่ง แสงอสนีบาตสีม่วงส่องสว่างแล้วพุ่งเร็วรี่เข้าใส่หลิ่วหมิงเบื้องหน้า
เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น!
พริบตาที่แสงอสนีบาตสีม่วงไปถึงยอดเขาน้อยลูกหนึ่งเบื้องหน้า มันก็กลายเป็นเศษหินกองหนึ่ง
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหน้าไม่รู้ร่างกายบิดท่าประหลาดอย่างไรจึงหลบพ้นอย่างสบายๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย นอกจากนี้ความเร็วเหมือนจะเพิ่มขึ้นอยู่บ้างอย่างไม่ใส่ใจ
ปีศาจสายฟ้าคำรามเกรี้ยวกราด มันสะบัดแขนท่ามกลางแสงอสนีบาต หอกยาวสีม่วงหนาเท่าถังน้ำสองเล่มพุ่งพรวดแหวกอากาศเข้าใส่หลิ่วหมิงด้านหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา