หลิ่วหมิงมองนิ่งๆ พักหนึ่ง ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเข้าใจจางๆ ออกมา หน้าตาของโอสถนี้ไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผู้ที่มีจิตสัมผัสเฉียบคมจะสามารถสัมผัสพลังโอสถที่เต็มเปี่ยมด้วยในได้ นี่คือโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ของแท้แน่นอนเม็ดหนึ่ง!
แม้ระดับความบริสุทธิ์จะไม่สูง พอหวุดหวิดถึงห้าส่วนเท่านั้น เป็นแค่โอสถระดับธรรมดาเม็ดหนึ่ง
หลังเขาครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็เก็บโอสถเม็ดนี้ขึ้นมา จากนั้นหยิบยันต์เก็บของอีกแผ่นขึ้นมาทำตามขั้นตอนเดิมอีกหน…
ช่วงเวลาต่อจากนั้นเขาจดจ่ออยู่กับการหลอมโอสถ
เวลาผันผ่านเร็วดั่งกระสวย ไหลหายไปดุจสายน้ำ
หลังผ่านไปอีกหนึ่งปี ผ่านการปรุงโอสถทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด ในที่สุดอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จก็บรรลุหนึ่งส่วน
สิบปีให้หลังอัตราส่วนการปรุงโอสถสำเร็จก็จวนเจียนเพิ่มขึ้นไปถึงสามส่วน
เมื่อถึงปีที่สิบสอง หลังผ่านการปรุงโอสถมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เพิ่มอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จไปถึงห้าส่วน นอกจากนี้ในปีนี้เขายังบังเอิญปรุงโอสถระดับสูงที่มีลวดลายโอสถสายหนึ่งออกมาได้เม็ดหนึ่งด้วย
ปีที่สิบสาม อัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ก็สำเร็จบรรลุหกส่วน แต่อัตราส่วนการปรุงได้โอสถระดับสูงยังต่ำมาก ส่วนโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ระดับพสุธายิ่งไม่เคยปรากฏออกมาสักครั้ง
ปีที่สิบห้าหลิ่วหมิงก็เพิ่มอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จไปถึงเจ็ดส่วนได้อย่างหวุดหวิด
มาจนถึงตอนนี้ เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าทักษะการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์มาถึงทางตันแล้ว เกรงว่าในเวลาอันสั้นอยากจะเพิ่มให้สูงขึ้นคงเป็นไปไม่ค่อยได้ เสียเวลาปรุงต่อไปก็ลงแรงเท่าทวีได้ผลลัพธ์ครึ่งเดียวอยู่หน่อยๆ
นอกจากนี้การจะปรุงโอสถระดับสูงออกมา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะการปรุงโอสถเพียงอย่างเดียว วัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถก็สำคัญมากเช่นกัน
กระดองเต่าลู่อู๋ชิ้นน้อยชิ้นนั้นที่ได้มาจากเฟิงชิงโม่ประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทอง น่าจะมาจากเต่าลู่อู๋ที่บรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้นได้อย่างหวุดหวิดสักตัว คุณภาพไม่นับว่าดีมาก ผนวกกับวัตถุดิบเสริมพวกนั้นเขาก็ซื้อหาจากในตลาดอย่างฉุกละหุก อัตราส่วนการปรุงโอสถสำเร็จกับอัตราส่วนการปรุงได้โอสถระดับสูงเท่านี้ เขาก็ค่อนข้างพอใจแล้ว
วันนี้หลังหลิ่วหมิงปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ออกมาได้อีกเม็ดหนึ่ง เขาก็มองดูโอสถทีสองทีแล้วเก็บไป จากนั้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา
เตาหลอมลิ่วเสินเบื้องหน้าพลันลอยขึ้นมา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งจากนั้นบินเข้าไปในแขนเสื้อ
หลิ่วหมิงถือโอกาสลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายแล้วเหล่มองไปตรงมุมห้อง
เห็นเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ต่างยังคงฝึกฝนพลังของตนเองอย่างไม่ออมแรงอยู่ไม่ไกลออกไป
ตอนนี้เฟยเอ๋อร์แปลงกายเป็นเด็กน้อยหน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าคน พร่าเลือนหายวับไปมาอยู่กลางท้องฟ้าไม่หยุด วิชาท่าร่างว่องไวจนทำให้คนตาลาย
ทันใดนั้นร่างกายของเด็กน้อยเก้าคนก็ชะงักเหมือนสังเกตเห็นสายตาของหลิ่วหมิง พวกเขาเรียงแถวเป็นรูปค่ายกลอย่างหนึ่ง อ้าปากใส่กำแพงปราณกว้างสองสามจั้งผืนหนึ่งเบื้องหน้าพร้อมกัน
ลูกบอลเพลิงสีเทาเก้าลูกถูกพ่นออกมา จากนั้นผสานกันกลางอากาศกลายเป็นเสาเพลิงหนาต้นหนึ่งกระแทกบนกำแพงปราณอย่างแรง
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
แสงสีเทาสาดออกไปสี่ทิศ กำแพงปราณที่เดิมทีแข็งแกร่งถูกเปลวเพลิงกัดกร่อนจนผิวหน้าหลอมละลาย
นอกจากนี้เปลวเพลิงบนผิวกำแพงปราณนี้ยังลุกโหมรุนแรง ราวกับว่าชั่วขณะหนึ่งคงไม่อาจดับลงได้
“ไม่เลว”
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในดวงตาก็ฉายแววชื่นชมอยู่บ้าง เขาเอ่ยชมขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกันนั้นสายตาก็เคลื่อนไปอีกด้าน
เซียเอ๋อร์หญิงสาวชุดตาข่ายดำด้านนั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงความชื่นชมที่หลิ่วหมิงมีต่อเฟยเอ๋อร์จึงตะโกนเสียงหวานออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ เร่งเคล็ดวิชาที่ท่องอยู่ให้เร็วขึ้นในทันที
ตาข่ายสีดำรอบร่างพลิ้วไหว จุดแสงสีน้ำตาลทองนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากในร่าง
จุดแสงสีน้ำตาลทองทยอยรวมตัวกันเหนือศีรษะนาง ผนึกรวมกันกลายเป็นก้อนศิลาเสมือนวัตถุจริงก้อนแล้วก้อนเล่าช้าๆ จากนั้นก้อนศิลาก็รวมตัวอีกหนค่อยๆ กลายเป็นยอดเขาลูกเล็กสูงถึงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่ง
เซียเอ๋อร์บิดร่าง มือข้างหนึ่งชี้ไปยังกำแพงปราณเบื้องหน้าเบาๆ
ยอดเขาขนาดเล็กสีน้ำตาลทองเหนือศีรษะฉายแสงวูบหนึ่งก็หายไปไร้ร่องรอย
เสียงดังสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นทีหนึ่ง!
ยอดเขาขนาดเล็กสูงสิบกว่าจั้งประหนึ่งเขาไท่ซานโถมทับศีรษะ ร่วงตรงลงมาจากฟ้ากระแทกบนกำแพงปราณใกล้ๆ อย่างรุนแรง
กำแพงปราณนี้ถูกโจมตีจนส่องแสงวูบวาบ ผิวหน้าปรากฏรอยร้าวเส้นแล้วเส้นเล่าทั้งที่ไม่เคยมี แทบจะแตกกระจุยทันที
“ดี! ดูท่าสิบกว่าปีนี้พวกเจ้าสองตัวไม่ได้เกียจคร้าน ล้วนก้าวหน้าขึ้นแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยกับทั้งสองตัว
หลังเขาเอ่ยชมเชยให้กำลังใจอีกพักหนึ่งก็ให้ทั้งสองฝึกฝนต่อ ส่วนตนเองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินไปถึงหน้าศิลาหุนเทียนที่อยู่ไม่ไกล
ขณะที่หลิ่วหมิงมองศิลาครึ่งดำครึ่งขาวนี้ เขาก็รู้สึกอยู่เลือนรางว่าของสิ่งนี้คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับป้ายศิลาโชคชะตาแผ่นนั้นที่พบในงานประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้
เขาส่ายศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดเหล่านี้ไปแล้วยกแขนขึ้นวางมือลงบนศิลา กระตุ้นพลังจิตถ่ายเทเข้าไปต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ดวงตามายาบนศิลาเบิกออก
จากนั้นเขารู้สึกตาพร่าไปวูบหนึ่ง เมื่อมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดอีกหน เขาก็เข้ามาอยู่ในแดนมายาที่ถูกปกคลุมด้วยท้องนภาสีเหลืองหม่นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา