ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 845

สรุปบท ตอนที่ 845 เขาสันเขียว: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 845 เขาสันเขียว – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 845 เขาสันเขียว ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 845 เขาสันเขียว
หลังหลิ่วหมิงรับมาอย่างนอบน้อมก็มองสำรวจครู่หนึ่ง เขาเห็นบนป้ายคำสั่งวาดรูปอสูรประหลาดที่หน้าตามีเอกลักษณ์ตัวหนึ่งไว้ ลำตัวยาวเรียว บนแผ่นหลังมีปีกคู่หนึ่ง ดูแล้วหน้าตาเหมือนกิเลนเทพอสูรในตำนานอยู่บ้าง อีกด้านหนึ่งคล้ายสลักภาพดวงดาราเจ็ดดวงไว้ เรียงเป็นแถวด้านบนสามด้านล่างสี่ราวกับว่าแฝงความลับพิเศษบางอย่างอยู่

หลิ่วหมิงไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก เขาเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง

สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าสมบัติลับสองชิ้นด้านในยันต์เก็บของมาก

“ขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งที่ช่วยเหลือ ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังโดยเด็ดขาด จะทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จให้จงได้” หลิ่วหมิงคำนับอย่างเคร่งขรึมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“เจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้ดียิ่งนัก แต่ก็ต้องรักษาจิตใจให้มั่นคงด้วย เช่นนี้ถึงจะเป็นประโยชน์ในการทะลวงผ่านอุปสรรค หากพบปัญหายุ่งยากที่ไม่อาจจัดการได้จริงๆ ที่ตระกูลโอวหยางก็กระตุ้นยันต์แผ่นนี้ได้” หลังอินจิ่วหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบยันต์สีเหลืองอ่อนแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าจริงจัง

“ศิษย์จะจำไว้”

หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าจริงจังของอินจิ่วหลิงไหนเลยยังจะไม่ทราบมูลค่าของสิ่งนี้ รีบร้อนเก็บไปอย่างทะนุถนอม

บนยันต์สีเหลืองอ่อนแผ่นนี้มียันต์เรียบง่ายเพียงไม่กี่เส้น ดูแล้วไม่สะดุดตาคล้ายเป็นเพียงยันต์สื่อสารแผ่นหนึ่งเท่านั้น

“หรือยันต์นี่จะเป็นยันต์สื่อสารกับคนใหญ่คนโตสักคนในตระกูลโอวหยาง…”

หลิ่วหมิงลอบคาดเดาในใจ อินจิ่วหลิงไม่อธิบายประโยชน์ของยันต์นี้ เขาก็ไม่สะดวกถามเช่นกัน

“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ!” อินจิ่วหลิงโบกมือเอ่ยนิ่งๆ

หลิ่วหมิงคำนับอีกครั้งถึงหมุนตัวเดินออกไป

…..

ครึ่งเดือนให้หลัง ลำแสงรูปเรือสีแดงฉานสายหนึ่งก็แหวกท้องฟ้าเหาะเร็วไวผ่านไป

จุดที่เขาผ่านมาถึงเบื้องล่างเป็นภูเขาเตี้ยๆ ทอดยาวเป็นผืนกับทุ่งราบสีเขียวสุดลูกหูลูกตา เบื้องล่างประหนึ่งไม่มีคนอาศัย

ที่นี่เห็นชัดว่าคือแคว้นฉีบนภาคกลางของแผ่นดินจงเทียนแล้ว

ตระกูลโอวหยางเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของหลิ่วหมิงอยู่ที่แคว้นเฉินซึ่งห่างไปไกลโพ้น เดินทางจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณกั้นกลางด้วยแคว้นใหญ่น้อยของมนุษย์ธรรมดาสิบกว่าแคว้น

แผ่นดินจงเทียนถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนที่มนุษย์ประชากรมาก แม้พื้นที่กว้างใหญ่ แต่สถานที่ซึ่งผู้ฝึกฝนรวมกันอยู่อย่างหนาแน่นจริงๆ กลับมีเพียงน้อยนิดส่วนหนึ่งในนั้นเท่านั้น สถานที่ซึ่งปราณจิตวิญญาณเบาบางส่วนใหญ่ย่อมมีผู้ฝึกฝนยินดีมาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นน้อย

แต่แผ่นดินจงเทียนแตกต่างจากแคว้นต้าเสวียนบนเกาะอวิ๋นชวนที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ก่อนหน้านี้ แคว้นของมนุษย์ธรรมดาบนแผ่นดินจงเทียนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้ฝึกฝนมากกว่า หลายราชวงศ์ที่จริงก็มีนิกายสำนักรวมถึงตระกูลใหญ่ต่างๆ สนับสนุน ถึงขั้นที่บางพวกเป็นตระกูลสายรองโดยตรง

ในแปดตระกูลใหญ่ของของแผ่นดินจงเทียนมีตระกูลสายรองของสองตระกูลเป็นราชวงศ์ของแคว้นมนุษย์ธรรมดา

แม้ตระกูลโอวหยางไม่ใช่หนึ่งในนั้น แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับแคว้นเฉินที่พวกเขาอยู่

ถึงหลิ่วหมิงจะบังคับเรือหยกจันทราเดินทางทั้งวันทั้งคืน แล้วยังเคลื่อนย้ายผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างทางอย่างไม่เสียดายค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็เพิ่งเดินทางมาได้ไม่ถึงสามในสิบของเส้นทาง

วันนี้ระหว่างที่เขากำลังรีบเร่งเดินทางอยู่นั้น ถุงหนังบางถุงข้างเอวพลันขยับยุกยิกไม่นิ่งพักหนึ่ง

หลิ่วหมิงแผ่จิตออกไป ถุงใบนี้คือถุงใบนั้นที่หัวบินอยู่นั่นเอง

“เฟยเอ๋อร์ เป็นอะไร?” หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งลูบถุงแล้วเอ่ยถามผ่านการเชื่อมจิต

“นายท่าน ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ก็รู้สึกหวั่นใจ” เสียงวิตกกังวลของหัวบินดังออกมาจากในถุง

หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้ว หลังขบคิดครู่หนึ่งจึงยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งใส่เรือเหาะ

ลำแสงของเรือหยกจันทราช้าลงทันที

ในเวลาเดียวกันหลิ่วหมิงก็ปล่อยจิตสัมผัสออกไปรอบด้าน

แมงป่องกระดูกกับหัวบินล้วนเป็นอสูรเลี้ยงที่ไม่ธรรมดา ในบางแง่ญาณวิเศษของพวกมันเฉียบคมยิ่งกว่าจิตสัมผัสของเขาเสียอีก ในเมื่อหัวบินเอ่ยเช่นนี้คิดว่าคงไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยแน่นอน

หรือจะมีคนซุ่มลอบโจมตีเขาอยู่ที่นี่?

เรื่องที่สองคนนั้นจากนิกายหยกทองวางกับดักเขายังจำได้ชัดเจนเหมือนอยู่ตรงหน้า ปรมาจารย์อู๋กวงแห่งนิกายปีศาจลี้ลับหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ออกคำสั่งปีศาจลี้ลับเรื่องเขาอยู่เชียวนะ

สุดท้ายเมื่อหลิ่วหมิงขยายจิตสัมผัสจนครอบคลุมบริเวณหลายสิบกิโลเมตร ในขอบเขตนี้ก็พบเพียงเมืองเล็กๆ ธรรมดาๆ ของมนุษย์ธรรมดาซึ่งปราณจิตวิญญาณเบาบางแห่งหนึ่งเท่านั้น

สถานที่เช่นนี้ตามหลักแล้วย่อมไม่มีทางมีผู้ฝึกฝนระดับสูงอันใด

เขาไม่ได้เลิกล้มเท่านี้แต่ใช้จิตสัมผัสกวาดไปมาอีกหลายรอบ ทว่าก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดบริเวณใกล้ๆ

หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยกมือข้างหนึ่งตบถุงหนังข้างเอว ปล่อยหัวบินออกมา

ปราณดำสายหนึ่งม้วนออกมากลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวคนหนึ่ง

“นายท่าน ความรู้สึกนั่นเหมือนจะ…เหมือนจะส่งมาจากใต้ดิน คล้ายกับจะเกี่ยวพันบางอย่างกับข้า นอกจากนี้ยังสำคัญยิ่ง” ไม่รอหลิ่วหมิงเอ่ยปาก หลังหัวบินขยับจมูกยุกยิกเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่าง บนใบหน้าก็เผยสีหน้างงงวยเล็กน้อยออกมาขณะที่เอ่ยบอก

หลิ่วหมิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย บนหน้าเผยสีหน้าใคร่ครวญ

แม้เขากำลังรีบเดินทางไปตระกูลโอวหยาง แต่หัวบินก็เป็นอสูรเลี้ยงตัวสำคัญของเขา เขาย่อมไม่อาจเมินเฉยความรู้สึกของมันได้

หลังเขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กระตุ้นเคล็ดวิชาบังคับเรือหยกจันทราให้ร่อนลงไป

เมืองน้อยที่ตีนเขาเล็กมาก กำแพงเมืองก่อขึ้นจากศิลายักษ์หยาบๆ จำนวนหนึ่ง ในเมืองมีประชากรพันกว่าครัวเรือน มีถนนหลักเพียงหนึ่งสายพาดจากตะวันออกไปตะวันตก มองดูแล้วไม่มีชีวิตชีวาเท่าไร แทนที่จะเรียกว่าเมืองขนาดเล็ก เรียกว่าอำเภอขนาดเล็กยังจะเหมาะกว่า

เมื่อครู่ที่เขากวาดจิตสัมผัสจากบนท้องฟ้า เขาพบว่าบริเวณไม่กี่สิบลี้รอบเมืองน้อยแห่งนี้เหมือนจะรกร้างอย่างยิ่ง แม้ผืนดินที่นี่ไม่แห้งแล้ง แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับแทบไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่

หลิ่วหมิงเดินเรื่อยเปื่อยในเมืองรอบหนึ่งแล้วจึงเสกเงินสองสามตำลึงขึ้นมาในแขนเสื้อ จากนั้นหาเหลาสุราแห่งหนึ่งบนถนนหลักแล้วเดินเข้าไป

ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน กิจการของเหลาสุราไม่ดีนัก มีแขกเพียงสองสามโต๊ะ หลิ่วหมิงนั่งลงที่ริมหน้าต่างชั้นสอง

“ลูกค้าท่านนี้ รับประทานอะไรดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว

ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดวูบหนึ่ง เขาไม่ได้ลิ้มรสชีวิตมนุษย์ธรรมดามานานมากแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดทันใดนั้นก็เกิดความต้องการอยากลิ้มลองขึ้นมา

เขาก็ไม่ได้หักห้ามความปรารถนานี้ สั่งเนื้อผักและของว่างหลายอย่างมาทันที แล้วยังสั่งสุราชิงจิ่วไหหนึ่งมาด้วย

ลิ้มรสสองสามคำ ของว่างของเหลาสุรารสชาติธรรมดา รสชาติค่อนข้างจะพื้นๆ แต่สุราชิงจิ่วของที่นี่ไหลลงคอเย็นสดชื่นซาบซ่านหัวใจ หวานไม่ธรรมดา แทบจะเทียบได้กับชาจิตวิญญาณกับสุราจิตวิญญาณบางชนิดที่เขาเคยดื่ม

“ดูจากการแต่งกายของท่านลูกค้าคงเป็นคนต่างถิ่น พักนี้คนต่างถิ่นมาเยือนเมืองชิงเชวี่ยแห่งนี้ของพวกเราน้อยลงทุกที แต่ในบริเวณพันลี้นี่ เมื่อเอ่ยถึง ‘เมาร้อยลี้’ นี่ของพวกเราล้วนต้องยกนิ้วโป้งให้ทั้งนั้น! วันนี้บังเอิญเป็นต้นเดือนถึงมีขายให้ ถ้าท่านมาช้าอีกสักสองสามวันก็ไม่ได้ลิ้มรสสุราเลิศรสชนิดนี้แล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ด้านข้างเห็นหลิ่วหมิงเผยสีหน้าอิ่มเอมออกมาจึงยิ้มแย้มเอ่ยขึ้นทันที

“อ้อ? นี่เพราะเหตุใดหรือ?” หลิ่วหมิงกลับสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“เมาร้อยลี้สุราชิงจิ่วชนิดนี้บ่มจากผลส้มเขียวบนเขาสันเขียวที่ห่างจากประตูตะวันออกของเมืองเราสองร้อยกว่าลี้ ผลไม้ชนิดนี้ผลผลิตน้อยนัก ดังนั้นสุราชิงจิ่วจึงหาดื่มได้ยากยิ่งเช่นกัน ทั้งเมืองมีแต่ร้านของเราเท่านั้นที่จัดหาสุราเลิศรสชนิดนี้ให้ได้” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างค่อนข้างภาคภูมิ

หลิ่วหมิงได้ยินก็คิดบางอย่างขึ้นได้ ต้นกำเนิดของปราณหยินในที่แห่งนี้ก็เหมือนจะอยู่ห่างไปทางตะวันออกสองร้อยกว่าลี้ของเมือง

เขาเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจทันที

“ผลส้มเขียว ไม่เคยได้ยินชื่อผลไม้ชนิดนี้มาก่อน แต่สุราชิงจิ่วนี้เลิศรสจริงแท้ ไม่ทราบเขาสันเขียวตั้งอยู่ที่ใด ข้าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

เสี่ยวเอ้อร์ของร้านได้ยินคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในพริบตา เขาโบกมือรัวใส่หลิ่วหมิงแล้วเอ่ยว่า

“ท่านลูกค้า เขาสันเขียวนี่ไปไม่ได้เด็ดขาดเชียว!”

“ทำไมเล่า? หรือบนเขานี่มีเสือมีหมาป่าอะไรอยู่?” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ

“เฮ้อ ถ้าเป็นแค่สัตว์ป่าเหล่านี้ก็แล้วไป! คนท้องถิ่นเรียกที่นั่นว่าช่องเขาเขียวสังหาร ตลอดทั้งปีล้วนมีหมอกหนาปกคลุม มีเพียงไม่กี่วันช่วงกลางเดือนจึงลดลงไปบ้าง แม้เป็นเช่นนี้ก็มีเพียงคนของหุบเขาตระกูลเยี่ยเท่านั้นที่เดินไปเก็บผลส้มเขียวตรงขอบได้ คนอื่นใครเข้าไปแล้วล้วนไม่ได้ออกมา” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยอย่างค่อนข้างหวาดกลัว

“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ข้ากลับรู้สึกสนใจอยากลองฟังสักหน่อย” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วพลางแย้มยิ้ม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา