หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นโยนเงินก้อนหนึ่งลงบนโต๊ะ
เสี่ยวเอ้อร์จ้องเงินเขม็ง บนใบหน้าเผยความละโมบออกมาในทันใด
หนึ่งเค่อให้หลังหลิ่วหมิงก็เดินออกมาจากประตูหน้าของเหลาสุรา เขาไม่ได้อยู่ต่อ ตรงดิ่งออกจากเมืองเล็กๆ นี้ไป
เขาสืบได้ข้อมูลจำนวนหนึ่งมาจากปากเสี่ยวเอ้อร์ แม้คนผู้นี้รู้เพียงข่าวเล่าข่าวลือ สาระมีจำกัด แต่ก็ยังทำให้หลิ่วหมิงตกใจ
ต่อมาเขาสืบหาข่าวจากสถานที่ใกล้ๆ เมืองเล็กอีกหลายแห่ง จากนั้นจึงเหาะขึ้นฟ้าแหวกท้องฟ้าจากไปอีกครั้ง
เจ็ดแปดวันให้หลัง หลิ่วหมิงยืนอยู่ริมเขาสันเขียวที่เสี่ยวเอ้อร์พูดถึงขณะที่มองไปด้านหน้า
เขาสันเขียวเป็นยอดเขาสูงพันกว่าจั้งลูกหนึ่ง มียอดเขาหลักเป็นใจกลาง เทือกเขาสองเส้นตัดผ่านกัน เขาทั้งลูกถูกหมอกหนาทึบปกคลุมอยู่
แต่หมอกนี้ไม่ใช่ไอน้ำสีขาวธรรมดา มันเป็นหมอกบางเบาสีเขียวอ่อนประหนึ่งควันชนิดหนึ่งลอยวนรอบตัวภูเขาอยู่อย่างอ้อยอิ่ง
“เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
หลิ่วหมิงมองไอหมอกสีเขียวที่ลอยอยู่บนยอดเขา บนหน้าเผยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย
หลายวันก่อนเขาไปสืบข่าวเกี่ยวกับเขาสันเขียวที่ตลาดซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดในเขตข้างเคียง เมื่อรวมกับข่าวลือจากในท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของที่แห่งนี้คร่าวๆ แล้ว
เดิมทีที่แห่งนี้อยู่ในเขตตงเยว่ของแคว้นฉี ส่วนเขาสันเขียวเบื้องหน้าก็เป็นสถานที่ซึ่งมีชื่อโด่งดังของทั้งเขตตงเยว่
เขตตงเยว่ตั้งอยู่ที่ชายแดนแคว้นฉีกับแคว้นเยว่แคว้นขนาดกลางอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกัน เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนทั้งสองแคว้นเคยมีสงครามโหดร้ายต่อเนื่องยาวนานหลายร้อยปี
และเขาสันเขียวแห่งนี้ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนของทั้งสองแคว้นก็เกิดสงครามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
กระทั่งสองพันปีกว่าก่อนหน้านี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดทั้งสองแคว้นจึงถอนทัพหยุดสงคราม
ด้วยเหตุนี้เขาสันเขียวแห่งนี้จึงกลายเป็นสนามรบเก่าที่ถูกทอดทิ้งแห่งหนึ่ง ทิ้งหลุมศพคนนับหมื่นไว้ ด้านในฝังโครงกระดูกนักรบจากทั้งสองแคว้นที่ตายในสงครามไว้นับไม่ถ้วน ซากศพปล่อยทิ้งไว้ซ้อนเป็นตั้ง กองถมเป็นภูเขา ว่ากันว่าถึงขั้นที่เดินผ่านพื้นดินนิ้วหนึ่งก็เป็นกองเลือดเนื้อนิ้วหนึ่ง
วันเวลาผ่านไปหลุมศพคนนับหมื่นเหล่านี้ก็มีปราณแค้นท่วมฟ้า ปราณหยินลอยวนเวียน ต่อให้เป็นวันฟ้าแจ้งในหน้าร้อนเดินผ่านที่แห่งนี้ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกเสียดกระดูก นับแต่นั้นไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านสถานที่แห่งนี้อีก จึงเกิดฉายาหุบเขาเขียวสังหารขึ้น
นานเข้าในเขาสันเขียวก็เกิดภูตผีขึ้นมาไม่น้อย
เริ่มแรกเป็นเพียงสัมภเวสีวิญญาณเร่ร่อนจำนวนหนึ่ง แต่ปราณหยินที่นี่มากมายอย่างที่สุด พลังของภูตผีจึงเลื่อนระดับขึ้นรวดเร็วยิ่ง พวกมันเริ่มปรากฏตัวยามค่ำคืน ทำร้ายสิ่งชีวิตรอบด้าน กลืนกินวิญญาณมนุษย์เสริมความแข็งแกร่งให้ตนเอง
เนื่องจากที่แห่งนี้ห่างไกลนัก ทั้งยังไม่มีชีพจรจิตวิญญาณแผ่มาถึง จึงไม่มีนิกายของผู้ฝึกฝนตั้งอยู่ที่นี่
เมื่อไม่มีผู้ฝึกฝนคอยจับตา ขุนนางมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ ภูตผีในที่แห่งนี้นับวันจึงยิ่งเหิมเกริม ผู้คนในะระยะพันลี้ใกล้เขาสันเขียวไม่มีทางเลือกค่อยๆ ย้ายจากไป เกิดเป็นเขตร้างหลายพันลี้
หนึ่งพันกว่าปีก่อนผู้ฝึกฝนผู้เก่งกล้าคนหนึ่งที่เล่ากันว่ามาจากนิกายใหญ่อายุหมื่นปีแห่งหนึ่งเดินทางฝึกฝีมือจนมาถึงที่แห่งนี้ เขาเห็นว่าที่แห่งนี้ผู้คนทุกข์เข็ญจึงลงมือสังหารภูตผีไปเป็นจำนวนมาก แล้วสละโลหิตบริสุทธิ์วางค่ายกลกักขัง ทำร้ายภูตที่ร้ายกาจที่สุดของที่แห่งนี้จนบาดเจ็บหนัก
ทว่าเนื่องจากปราณแค้นของที่แห่งนี้มากมายเกินไป ขณะที่ภูตตัวนี้กำลังจะวิญญาณแตกสลาย ไม่รู้มันใช้วิธีการใดเรียกปราณหยินพันหมื่น ณ ที่แห่งนี้เข้ากระแทกค่ายกล ส่วนตัวมันอาศัยโอกาสนี้พาภูตผีที่เหลือหนีออกจากจากค่ายกลเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา
ผู้ฝึกฝนผู้มากความสามารถคนนี้เสียลมปราณไปมาก ไร้กำลังจะไล่ตามสังหารต่อ จึงได้แต่ใช้ผนึกหลายอันกับเขตเทือกเขา ผนึกภูตผีเหล่านี้ไว้ที่นี่
ด้วยเกรงว่าภูตผีด้านในจะทลายผนึกออกมา คนผู้นี้จึงรั้งอยู่ที่นี่จนกระทั่งสุดท้ายละสังขารก็ไม่เคยจากไปสักก้าว
ทว่าก็เพราะเหตุนี้ที่แห่งนี้ถึงยังมีสิ่งมีชีวิต หลังผ่านการดูแลหลายร้อยปีก็เฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้ฝึกฝนคนนี้ยังตั้งรกรากมีลูกหลานที่นี่จนเหลือทายาทไว้มากมาย พวกเขารุ่นแล้วรุ่นเล่าเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือปราณจิตวิญญาณฟ้าดินที่นี่เบาบางอย่างแท้จริง ทายาทของผู้ฝึกฝนท่านนี้จึงค่อยๆ ตกต่ำ นอกจากจะไม่มีพลังมหาศาลดั่งบรรพบุรุษ พวกเขายังค่อยๆ ตกต่ำกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาสูญเสียพลังเวทไป ถึงขนาดที่มีคนไม่น้อยลืมเลือนหน้าที่ซึ่งบรรพบุรุษส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นไปแล้ว
ผนวกกับชั้นจำกัดรอบนอกเหล่านั้นไม่มีคนรักษามาเนิ่นนาน มันย่อมรับแรงกระแทกจากวิญญาณแค้นมากมายด้านในไม่ไหว ทานไม่ไหวมานานแล้ว
ปัจจุบันทายาทเหล่านี้ก็ยังคงรวมตัวอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาสันเขียว พวกเขาก็คือหุบเขาตระกูลเยี่ยที่เสี่ยวเอ้อร์กล่าวถึง
เรื่องเหล่านี้เป็นข้อมูลทั้งหมดที่หลิ่วหมิงสอบถามมาได้จากหลายๆ ที่ เรื่องราวจริงแท้อย่างไร ขณะนั้นยังไม่อาจตัดสินได้
หลิ่วหมิงมองหมอกภูตเบื้องหน้าก็รู้ว่าเรื่องเล่าเหล่านี้คงเป็นเรื่องจริงแปดเก้าในสิบส่วน
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงภูตที่อายุยาวนาน พลังไปถึงระดับผลึกเท่านั้นถึงจะสร้างหมอกภูตสีเขียวหนาทึบระดับนี้ออกมาได้ นอกจากนี้พื้นที่ก็ไม่มีทางใหญ่มาก
แต่หมอกภูตที่นี่กลับครอบคลุมทั้งภูเขา
“หรือที่นี่จะมีภูตระดับแก่นแท้?” หลิ่วหมิงลอบคาดเดาในใจ
ในเวลานี้เองปราณดำก็แล่นออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณถุงหนึ่งข้างเอว เฟยเอ๋อร์บินออกมาจากด้านใน
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่มีเจ้าตัวที่ร้ายกาจมากอยู่!” เฟยเอ๋อร์ปรากฏตัวปุบ สองตาก็มองลึกเข้าไปในหมอกภูต บนใบหน้าอ่อนเยาว์เผยสีหน้าจริงจัง แต่ลึกลงไปในดวงตากลับแฝงแววตาปรารถนาจางๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา