เพียงแต่ตอนนี้เขามองดูบริเวณด้านหน้าที่ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิด แล้วมองหน้าหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ถึงแม้ศิษย์พี่ซือหม่าจะหลบซ่อนได้ดี แต่เสียดายช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่ได้ควบคุมกลิ่นไอของตัวเองให้ดี มันเลยแผ่ออกมาเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าจะรับรู้ได้อย่างไร” หลิ่วหมิงหันตัวกลับมากล่าวกับชายชุดดำอย่างราบเรียบ
ในขณะเดียวกันแมงป่องกระดูกขาวก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาทั้งสองจ้องมองแขกมาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ไม่หยุด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ว่าถ้าใครมาเห็นพลังที่แท้จริงของศิษย์น้องไป๋ เกรงว่าคงจะตกใจเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่เจ้าปีศาจระดับขุนพลตนนี้เลย เจ้าเองก็มีพลังของศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย และวิชาคมวายุกับกระสุนไฟก็คงจะผนึกประทับวิชาในหัวเจ้าแล้ว” ซือหม่าเทียนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ประทับวิชา?”
คำนี้หลิ่วหมิงได้ยินเป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรกหลังจากเขาได้ยินจากปากโจรปล้นสดมภ์แล้วก็ไปตรวจสอบตามคัมภีร์โบราณจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังหาบันทึกที่เกี่ยวข้องไม่เจอ
“ไม่ผิด แต่ละวิชาเมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็สามารถใช้พลังจิตผนึกวิชาประทับไว้ในหัวได้ จากนั้นก็กลายเป็นพลังมหัศจรรย์ พอใช้พลังทั้งหมดที่มีแสดงมันออกมา อานุภาพก็จะแตกต่างกับก่อนหน้านั้นราวฟ้ากับดิน เฮ่อๆ! ข้อมูลที่ข้าทราบมาบอกว่าเจ้าเป็นศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณ ที่อยู่ในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง พลังก็พื้นๆ พวกนั้นช่างตาบอดเสียจริง! ที่ข้ารู้มาศิษย์ทั่วไปที่จะผนึกวิชาคมวายุและวิชากระสุนไฟจนประทับไว้ในหัวได้ ต่อให้ต้องละทิ้งวิชาที่ฝึกฝนโดยเฉพาะ ก็ต้องใช้เวลาสามถึงสี่ปีถึงจะทำได้ แต่ศิษย์น้องไป๋กลับทำมันได้แล้ว ดูท่าศิษย์น้องจะมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนค่อนข้างสูง ถึงได้เหนือความคาดหมายของผู้อื่นยิ่งนัก” ซือหม่าเทียนกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ทำไมล่ะ! มีคนให้เจ้ามาหาเรื่องข้าอย่างนั้นหรือ?” หางตาหลิ่วหมิวกระตุก แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
“ไม่ผิด เดิมทีคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้โดยง่าย แต่ตอนนี้ได้รู้ถึงพลังที่แท้จริงของศิษย์น้องไป๋แล้ว ถ้าลงมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ล่ะก็ หินจิตวิญญาณอันน้อยนิดเหล่านั้นก็เป็นเรื่องตลกแล้ว อีกอย่างตอนนี้ข้าก็ไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะเจ้าได้ ยิ่งไม่อยากทำเรื่องที่ตนเองต้องเสียเปรียบแล้ว แต่เมื่อถึงการประลองใหญ่แล้วข้ากับเจ้าได้พบเจอกันอีกครั้ง ข้าจะใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่ในการต่อสู้โดยจะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน” ซือหม่าเทียนกล่าวจบก็หมุนตัวไปยังทางเข้าด้านหลัง แล้วก็หายไปตัวไป ไม่คาดคิดว่าเขาจะถอยไปง่ายๆ เช่นนี้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เอามือลูบคาง และไม่ได้ตามออกไป
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกับโจรปล้นสดมภ์ที่ถูกเขาสังหาร แต่เขาก็มีกลิ่นไอที่ดูอันตราย ทำให้หลิ่วหมิงประมาทไม่ได้
ช่างเถอะ! ฝ่ายตรงข้ามยอมถอยเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องยาก ก็นับว่าเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง!
ถึงแม้เขาจะอยากจะลองดูพลังที่แท้จริงของศิษย์แกนนำผู้แข็งแกร่งสักหน่อย แต่ถ้าหากบาดเจ็บในนี้ล่ะก็ คงจะไม่สามารถฝึกฝนเพื่อการต่อสู้ในการประลองจริงได้ ถ้าหากว่าพบเจอคนอื่นๆ ที่มีเจตนาร้ายคงจะต้องยุ่งยากเข้าไปอีก
หลิวหมิงคิดไตร่ตรองได้เช่นนี้แล้ว ก็ละทิ้งความคิดที่จะแลกมือกับฝ่ายตรงข้ามในที่แห่งนี้
ขณะนี้แมงป่องกระดูกขาวก็ปีนป่ายไปมาบริเวณนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันใช้ก้ามยักษ์เก็บมุกปราณแก่นพิภพของโครงกระดูกร่างมนุษย์กับกระดูกแหลมยาวครึ่งฉื่อที่ถูกไอสีเทาจางๆ ปกคลุมอยู่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และส่งมาไว้ข้างๆ หลิ่วหมิง
“เอ๋! กระดูกจิตวิญญาณชิ้นนี้คือ…” พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองกระดูกชิ้นที่ก้ามยักษ์คีบอยู่ ก็รู้สึกตกตะลึงในฉับพลัน มือข้างหนึ่งหยิบมันขึ้นมาแล้วพินิจดูอย่างละเอียด
“ที่แท้เป็นกระดูกจิตวิญญาณร้อยปี ดูเหมือนจะมีคุณภาพสูง! ดีมาก มุกปราณแก่นพิภพเม็ดนี้มอบให้เจ้าเป็นรางวัลก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงตรวจสอบไปหนึ่งรอบแล้วก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จากนั้นก็หยิบตลับไม้ออกมาหนึ่งตลับ และวางชิ้นกระดูกจิตวิญญาณไว้ในนั้น แล้วเก็บอย่างระมัดระวัง
ด้านแมงป่องกระดูกขาวที่จ้องมองตาปริบๆ ตั้งแต่แรก พอได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ ก็รีบนำมุกแก่นพิภพเข้าปากแล้วกลืนลงไปอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นมันก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ
ความแข็งแกร่งของปีศาจโครงกระดูกร่างมนุษย์เมื่อครู่ นับว่าร้ายกาจกว่าปีศาจระดับขุนพลที่เจอมาทั้งหมดก่อนหน้านั้น คิดว่ามุกปราณแก่นพิภพของมันคงจะบำรุงร่างของแมงกระดูกขาวได้ไม่น้อย แต่จะว่าไปแล้วถ้าหากนำมุกปราณแก่นพิภพนี้ไปแลกแต้มคุณูปการที่ด้านนอก คงจะได้แลกได้ร้อยแต้มขึ้นไป
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ เขาหยิบเกราะเหล็กและชิ้นส่วนครึ่งหนึ่งของคมขวานที่เหลืออยู่ขึ้นมา หลังจากตรวจดูเล็กน้อยก็โยนมันทั้งหมดเข้าไปในห่อหนังสัตว์
ของทั้งสองสิ่งนี้ทนต่อพลังของลูกเปลวไฟยักษ์ได้ และไม่หลอมละลาย เห็นได้ชัดว่าย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา คงจะขายได้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง
ตอนที่หลิ่วหมิงหิ้วห่อหนังสัตว์ขึ้นมาและเตรียมจะเดินไปข้างหน้านั้น พลันนึกอะไรบางอย่างได้ เขาหมุนตัวเดินกลับไปยังปากทางเข้าที่ซือหม่าเทียนปรากฏตัวเมื่อครู่
เสียงดัง “ฟู่!”
ยันต์สีเหลืองจางๆ ผืนหนึ่งติดลงบนผนังหินแถวนั้น แล้วกะพริบหายเข้าไปบนพื้นหินอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงได้เกินจากไปด้วยความสบายใจ
ยันต์รับรู้ผืนนี้ถึงแม้จะราคาไม่เบา แต่แค่มีคนเดินผ่านปากทางเข้านี้ ยันต์อีกผืนที่คู่กันบนมือเขาก็จะเตือนให้ทราบ
เช่นนี้แล้วเขาก็ไม่ต้องกังวลใจว่าซือหม่าเทียนอาจจะกลับมาอีกหรือไม่ หรือว่าจะมีใครตามหลังเขามาอีกหรือเปล่า
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย
หลิ่วหมิงอยู่ในอุโมงค์หมื่นกระดูกติดต่อกันเป็นเวลานานสามเดือน วิชาแต่ละอย่างที่ใช้กับประสบการณ์การรบจริงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และกระบี่สั้นที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณเล่มนั้นก็ยิ่งควบคุมได้ดังใจมากขึ้น
ในระหว่างนี้ เขาสังหารปีศาจกระดูกระดับขุนพลไปเกือบจะร้อยกว่าตนแล้ว ส่วนปีศาจระดับพลทหารและปีศาจตนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนหลังเขาพบปีศาจที่มีพลังแข็งแกร่งหลายตน และแข็งแกร่งกว่าปีศาจโครงกระดูกร่างมนุษย์ตอนนั้นหลายเท่านัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา