พอเกาชงได้ยินชื่อนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“แต่ชงเอ๋อร์ ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะมีพลังแข็งแกร่งแล้ว แต่ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ค่อนข้างมาก ดังนั้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะให้ศิษย์พี่สองคนเริ่มฝึกฝนกับเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน เช่นนี้แล้วเมื่อถึงงานประลองใหญ่เจ้าคงจะมีประสบการณ์การต่อสู้จริงเพิ่มขึ้นไม่น้อย” ประมุขนิกายปีศาจใช้นิ้วชี้ไปยังชายหนุ่มทั้งสองด้านหลังที่ใบหน้าคล้ายกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น ต่อไปเกาชงต้องขอรบกวนศิษย์พี่ทั้งสองแล้ว” หลิ่วหมิงคารวะชายหนุ่งทั้งสองด้วยท่าทีนอบน้อม
“มิกล้า! ได้ช่วยเหลือศิษย์น้องเกาถือเป็นเกียรติแก่ข้าทั้งสองยิ่งนัก” ชายหนุ่มทั้งสองเห็นเช่นนี้ก็ไม่ช้าชักช้า รีบตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“เอาล่ะ! ชงเอ๋อร์ เจ้าเก็บตัวฝึกฝนมานานเช่นนี้คงจะเหนื่อยมากแล้ว วันนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!” ประมุขนิกายกล่าวด้วยความเป็นห่วง จากนั้นก็พาชายหนุ่มทั้งสองจากไป
หลังจากที่เกาชงน้อมส่งประมุขนิกายปีศาจแล้วก็นั่งขัดสมาธิลงที่เดิม แล้วก็หลับตากำหนดลมหายใจ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ด้านข้างของเขามีชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนหลายวงนั่งรอเขาอยู่
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่ซิ่ง รีบร้อนเช่นนี้ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” พอเกาชงเห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดเจนก็ถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“ศิษย์น้องเกา ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่?” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ใช่เรื่องเกี่ยวกับหมิงจูหรือไม่?” หลังจากที่ดวงตาของเกาชงเป็นประกายแล้วก็ถามออกไปอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องรู้ได้อย่างไร?” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนอดที่จะแปลกใจไม่ได้
“เฮ่อๆ! ข้ามาจากผู้ฝึกปราณอิสระ ไม่มีตระกูลมาพัวพันให้เดือดร้อน เรื่องเกี่ยวข้องกับข้าที่ทำให้พวกเจ้าลังเลจนไม่รู้จะจัดการอย่างไร ย่อมมีแต่เรื่องเกี่ยวกับหมิงจูเท่านั้น พูดมาเถอะ! มันเกิดอะไรขึ้น?” เกาชงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“หลายเดือนก่อน มีข่าวมาจากภายนอกว่าตระกูลมู่รับหมั้นศิษย์น้องหมิงจูให้กับคนอื่นแล้ว และยังทำการหมั้นเรียบร้อยแล้วด้วย” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนลังเลเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ตระกูลมู่ให้หมิงจูหมั้นกับคนอื่นโดยไม่บอกข้าสักคำ ช่างกล้ายิ่งนัก! พวกเขาคิดจริงๆ เหรอว่าตระกูลของตนเองมีศิษย์จิตวิญญาณหลายคนก็เลยไม่เกรงกลัวข้า หมิงจูรับหมั้นกับใคร? ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครที่มันกล้าแย่งหญิงที่ข้าหมายปอง” พอเกาชงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูดุร้ายขึ้นมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันน่ากลัว
“เขาคือเจ้าเด็กจากตระกูลไป๋ที่ชื่อไป๋ชงเทียน ว่ากันว่าเป็นศิษย์ใหม่ที่เข้านิกายมาพร้อมกันกับศิษย์น้องเกา ตอนนี้เป็นศิษย์สังกัดสาขาเก้าทารก” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนรีบกล่าวออกไป
“ไป๋ชงเทียน ศิษย์ใหม่! ข้าขอคิดดูก่อน อืม!…ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ มีคนชื่อนี้อยู่คนหนึ่ง และตอนนั้นก็ถูกรับมานิกายจากที่เดียวกันพร้อมกับข้าและหมิงจู แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็เขาเป็นแค่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ครึ่งปีแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ากับศิษย์พี่อู๋และคนอื่นๆ ไม่สามารถจัดการให้ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณคนหนึ่งยอมถอนหมั้นไปอย่างโดยดีได้” เกาชงได้ยินชื่อแล้วก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ในฉับพลัน
“ศิษย์น้องไม่รู้อะไร ไป๋ชงเทียนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา เหมือนกับว่าหนึ่งปีก่อนเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ทั้งยังเคยต่อสู้ชนะศิษย์ที่มีชื่อเสียงของหุบเขาเก้าช่อง ในขณะเดียวกันยังเคยใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนทำภารกิจของนิกายได้สำเร็จหลายสิบภารกิจ และไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง เนื่องกฎของนิกายเคร่งครัด ถึงแม้พวกเราอยากจะลงมือก็ไม่กล้าทำอะไรได้มากนัก ดังนั้นก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเราได้ไปหาซือหม่าเทียนแห่งสาขาหยินทนทรมาณให้ลงมือกับเขา” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนอธิบาย
“ซือหม่าเทียน ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้มีชื่อจารึกอยู่ในยี่สิบอันดับแรกบนแผ่นศิลาจันทรา รับมือกับศิษย์ใหม่ที่เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก เป็นอย่างไรบ้าง เขาทำสำเร็จหรือยัง?” เกาชงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็คลี่คลายลง
“ไม่สำเร็จ! หลายวันก่อนข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า ซือหม่าเทียนนำหินจิตวิญญาณที่จ่ายให้ล่วงหน้าฝากคนมาคืนแล้ว และยังบอกว่าถ้าอยากให้เขาลงมือจริงๆ ล่ะก็ ต้องเพิ่มค่าตอบแทนเป็นสิบกว่าเท่าถึงจะได้ และยังไม่รับรองว่าจะทำสำเร็จหรือไม่” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนยิ้มอย่างขมขื่นแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง
“ซือหม่าเทียนพูดเช่นนี้จริงหรือ?” เกาชงฟังมาถึงจุดนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คนที่นำคำพูดมาบอกคือเพื่อนสนิทของข้า ย่อมไม่พูดโกหกอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวยืนยัน
“น่าสนใจซะแล้ว ดูท่าคงจะประมาทศิษย์น้องไป๋ผู้นี้ไม่ได้แล้วสิ! ไม่คาดคิดว่าจะทำให้ศิษย์แกนนำอย่างซือหม่าเทียนผู้นี้เกรงกลัวได้ไม่น้อย มิเช่นนั้นเขาคงไม่พูดออกมาเช่นนี้ ดี! เรื่องไป๋ชงเทียนพวกเจ้าไม่ต้องไปยุ่งแล้ว รอถึงการประลองใหญ่ก็จะรู้เองว่าเขาเป็นเสือหรือเป็นแมว พอถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาออกปากถอนหมั้นกับหมิงจูต่อหน้าทุกคนเอง” เกาชงกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ในเมื่อคนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่ง ต่อให้จะเป็นศัตรูกับศิษย์น้อง ก็เกรงว่าคงจะไม่ยอมทำตามโดยง่าย” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนรู้สึกลังเลขึ้นมา
“ถ้าเขาคิดที่จะทำเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขามีชีวิตอยู่แล้ว ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็การประลองจะต้องลงนามยอมรับการเสียชีวิต เรื่องพลั้งมือฆ่าคนอื่นตายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการประลองใหญ่ ถึงแม้จะมีการลงโทษบ้าง แต่ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาของประมุขนิกาย จะโดนลงโทษอย่างเฉียบขาดเชียวหรือ?” เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนได้ยินก็รู้สึกเสียวสะท้านเขาทำได้แค่พูดตอบรับกลับไป แต่สายที่มองเกาชงดูแปลกไปจากเดิม
เกาชงตอนเข้านิกายมาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยหรือการปฏิบัติตัวล้วนแตกต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับดิน ตั้งแต่ถูกท่านประมุขพาไปเก็บตัวพร้อมกัน และฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นเวลาหนึ่งปีถึงได้ออกมา ถึงแม้จะฝึกฝนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่อุปนิสัยกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีแค่ตอนที่อยู่กับมู่หมิงจูเท่านั้นที่เขาจะรักษาการพูดและการกระทำไว้ได้เหมือนเดิม
ถึงแม้ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนจะรู้ว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนจะเกี่ยวข้องกับวิชาที่ท่านประมุขถ่ายทอดให้เกาชง แต่ความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังนี้ ยังคงทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวจนขนพองสยองเกล้าได้ตลอดเวลา
เวลาต่อมาทั้งสองพูดคุยต่ออีกสองสามประโยค ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนก็ลาจากไปพร้อมคำสั่งของเกาชง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา