ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 866

สรุปบท ตอนที่ 866 หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 866 หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 866 หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 866 หุ่นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์
“หืม วิชาขี่กระบี่!”

ดวงตาของหลิ่วหมิงหรี่ลงอย่างประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าผมขาวผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่คนหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างชำนาญวิชาขี่กระบี่ทีเดียว

แต่พลังสายตาของเขาระดับใด ชั่วพริบตาที่ผู้เฒ่าลงมือก็มองออกแล้วว่ากระบี่บินเล่มนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณอันใด

รุ้งกระบี่สีเหลืองส่องแสงวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิ่วหมิงแล้วฟันลงมาอย่างรุนแรงส่งเสียงดังหวีดหวิว

ในเวลาเดียวกันสามคนที่เหลือก็ลงมือพร้อมกันอย่างเข้าขายิ่งนัก บุรุษผอมสูงอ้าปากพ่นอาวุธประหลาดเล่มหนึ่งออกมา ลักษณะเป็นครึ่งดาบครึ่งกระบี่ หน้าตาค่อนข้างแปลกประหลาด

บุรุษร่างกำยำตวาดเสียงดัง แสงสีดำในมือส่องสว่าง กระบองสีดำสูงกว่าคนแท่งหนึ่งโผล่ออกมา อาวุธจิตวิญญาณมหึมาเช่นนี้พบเห็นได้น้อยนักจริงๆ แต่ค่อนข้างเหมาะกับร่างกายกำยำของเขาทีเดียว

สตรีสาวอายุน้อยสะบัดมือทีหนึ่งก็ปล่อยลิ่มสีขาวสั้นๆ แท่งหนึ่งออกมา เมื่อมันโต้ลมก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นขนาดสิบกว่าจั้ง

ทั้งสามคนท่องมนตร์แล้วกระตุ้นเคล็ดวิชาพร้อมกัน อาวุธจิตวิญญาณของแต่ละคนกำลังจะพุ่งเข้าใส่ซาฉู่เอ๋อร์ด้านนั้น

หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันขณะที่สองมือกำแน่นเป็นหมัด ปราณดำเข้มข้นทะลักออกมาจากในร่าง เคลื่อนพันบนสองแขนแล้วสั่นอย่างรุนแรง เสียงมังกรคำรามแผ่วต่ำดังออกมา

เสียง “ฟู่” ดังขึ้น!

กระแสลมแรงสายหนึ่งส่งเสียงดังฟู่แผ่ขยายออกไปรอบด้านอย่างรุนแรงโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง หมัดที่มีหัวมังกรสีดำสนิทหุ้มอยู่สองข้างต่อยเข้าใส่คมของกระบี่บินที่พุ่งประจันเข้ามา

เสียงดังสนั่น!

รุ้งกระบี่สีเหลืองฉับพลันสั่นไหว รุ้งกระบี่แตกสลายทีละชุ่นๆ ตัวกระบี่บินก็ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งดีดปลิวออกไป มันกลิ้งหลุนๆ กลางอากาศปลิวออกไปสิบกว่าจั้งถึงหยุดได้อย่างหวุดหวิด

ผิวของกระบี่บินส่องแสงสีเหลืองวูบวาบไม่หยุดแล้วยังส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาออกมาด้วย ราวกับว่าถูกหลิ่วหมิงโจมตีครั้งเดียวก็เสียหายไม่น้อย

ผู้เฒ่าผมขาวหน้าซีด กระบี่บินสีเหลืองเล่มนี้เป็นกระบี่บินประจำกายของเขา มันเชื่อมต่อกับจิตใจ ดังนั้นพลังเวทในร่างเขาจึงปั่นป่วนขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้

แม้เขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่แก่นแท้ที่เขาผนึกได้เป็นเพียงแก่นแท้ระดับล่างสามทวาร ในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้นับเป็นพวกที่พลังต่ำสุด เขาจึงไม่อาจฝืนรับการโจมตีอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้วได้สักนิด

หลิ่วหมิงโจมตีหนึ่งหมัดได้ผล ร่างกายก็ขยับพาเงาเลือนรางสายหนึ่งไปปรากฏตัวเบื้องหน้าซาฉู่เอ๋อร์ เขาตวาดเบาๆ แล้วโจมตีออกมาอีกสองหมัด

สองหมัดของเขาปราณดำพลุ่งพล่าน เกิดวังวนสีดำสนิทขึ้นท่ามกลางกระแสปราณรอบหมัด กระแสปราณแข็งแกร่งหวดบนต้นไม้รอบด้านดั่งแส้ กิ่งไม้สะบัดไหวไม่หยุดจนกิ่งไม้เรียวเล็กจำนวนหนึ่งพากันหักร่วง

อาวุธจิตวิญญาณของพวกชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กำยำทั้งสามคนเพิ่งกลายเป็นแสงเรืองรองหลากสีสันซัดมาก็ปะทะกับกระแสปราณจากหมัดของหลิ่วหมิงทันที

เปรี้ยง!

วังวนสีดำสนิทฉับพลันหอบอาวุธจิตวิญญาณทั้งสามชิ้นเข้าไป หลังจากปราณดำพลุ่งพล่านรวมตัวกันอีกครั้งก็กลายเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีดำดวงหนึ่งลอยออกมา

ครู่ต่อมาพลังมหาศาลประหนึ่งขุนเขาครวญมหาสมุทรคำรามก็โถมออกมาจากด้านใน

กระบอง กระบี่ยาวรูปร่างประหลาดและลิ่มสั้นสีขาวต่างถูกกระแสปราณสีดำสนิทของหมัดกระแทกปลิวไปพร้อมกัน แสงรัศมีด้านบนหม่นแสงลง เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณเสียหายเช่นกัน

ร่างกายของทั้งสามคนสะท้านอย่างรุนแรง พวกเขาถอยดังตึงๆ ติดต่อกันหลายก้าว ทุกคนส่งเสียงดังอ๊อกแล้วอ้าปากพ่นเลือดออกมา

หลังพวกเขาตั้งหลักได้อย่างยากลำบาก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมองมาทางหลิ่วหมิง ชั่วขณะหนึ่งไม่กล้าลงมือง่ายๆ อีก

หลิ่วหมิงเพียงยกมือยกเท้าก็โจมตีอาวุธจิตวิญญาณของทั้งสี่คนจนปลิวในครั้งเดียว

เวลานี้ซาฉู่เอ๋อร์เพิ่งยกมีดแวววาวในมือขึ้นขวางหน้าร่าง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเรียกอาวุธจิตวิญญาณรูปนาฬิกาทรายชิ้นหนึ่งออกมาแปลงเป็นกำแพงทรายสีดำผืนหนึ่งเบื้องหน้า

สตรีผู้นี้เห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน

เทียบกับตอนอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ เห็นชัดว่าหลิ่วหมิงแข็งแกร่งขึ้นมากเหลือเกิน

“พี่หลิ่ว ท่าน…”

“ระวัง”

ขณะที่ซาฉู่เอ๋อร์อ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขายื่นมือออกมาคว้าแขนซาฉู่เอ๋อร์ดั่งสายฟ้าแลบ ปราณดำก้อนหนึ่งหุ้มทั้งสองคนไว้แล้วพุ่งถอยออกไป

เพียงครู่เดียวมือใหญ่ที่ส่องแสงสีม่วงข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านบน คว้ามายังจุดที่ซาฉู่เอ๋อร์ยืนอยู่เมื่อครู่

เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง ฝุ่นหินดินทรายปลิวฟุ้ง บนพื้นปรากฏรอยประทับฝ่ามือยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งรอยหนึ่งทันที

“ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ ลงมือกับผู้เยาว์ระดับผลึกเช่นนี้อย่างพวกเรา ไม่รู้สึกว่าลดตัวบ้างหรือ?” หลิ่วหมิงพาซาฉู่เอ๋อร์เหาะวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงห่างไปสิบกว่าจั้ง สายตาจ้องบางจุดกลางอากาศดั่งสายฟ้าแลบ เขาเอ่ยออกมาขณะที่ใบหน้าเผยสีหน้าระวังออกมาเป็นครั้งแรก

“ระดับดาราพยากรณ์”

“เรื่องนี้…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่บ้าง

“ได้ เอาตามที่ผู้อาวุโสว่า หากพวกเราสองคนไม่อาจทนรับหนึ่งฝ่ามือของผู้อาวุโสได้ ฉู่เอ๋อร์จะกลับไปกับผู้อาวุโส” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ดวงตาสองข้างพลันเป็นประกายแล้วตอบรับในทันที

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขากำลังคิดจะเอ่ยอันใดกับซาฉู่เอ๋อร์ บุรุษผมยาวฝั่งตรงข้ามกลับหัวเราะหยัน ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างใดแต่บนร่างพลันมีแสงสีม่วงส่องสว่างจ้า แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลแผ่ออกมาพร้อมกับที่เงาของยักษ์ตนหนึ่งลอยออกมาจากแผ่นหลังของเขาช้าๆ

รอบร่างของเงายักษ์มีไอมงคลสีม่วงพวยพุ่ง เห็นอยู่เลือนรางว่าบนชุดยาวตัวใหญ่ที่มันสวมอยู่ปักภาพมังกรเทพ แม้ใบหน้าของมันจะพร่ามัวไม่ชัด แต่ก็มองเห็นว่าบนศีรษะของเงายักษ์สวมหมวกจักรพรรดิ ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณอันน่าเกรงขามหาใดเทียบ

“นี่คือร่างพลังเวทของตระกูลโอวหยาง จักรพรรดิเซียนเทียน!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ม่านตาก็หดเล็กลง

นิกายยอดบริสุทธิ์มีวิชานานาชนิดสืบทอดกันมามากมายนัก แม้อยู่บนยอดเขาสายในลูกหนึ่ง วิชาที่ศิษย์บนนั้นฝึกฝนก็ไม่เหมือนกัน

แต่ตระกูลโอวหยางไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนแทบทั้งตระกูลโอวหยางต่างฝึกฝนวิชาเดียวกัน นั่นก็คือวิชาจักรพรรดิเซียนเทียน

บันทึกในตำราซึ่งหลิ่วหมิงเคยอ่านพบที่นิกายยอดบริสุทธิ์กล่าวไว้ว่าบรรพบุรุษตระกูลโอวหยางเคยเป็นราชวงศ์ของแคว้นใหญ่แห่งหนึ่ง จักรพรรดิผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาผู้หนึ่งเป็นผู้สร้างวิชานี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง

เมื่อมีผู้ฝึกฝนวิชานี้จนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ ร่างพลังเวทแห่งฟ้าดินที่เขาเสกออกมาก็คือเงาของจักรพรรดิองค์นั้นในสมัยนั้นซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต

หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้า เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกำลังจะลงมือ แต่ทันใดนั้นซาฉู่เอ๋อร์ด้านหลังกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฝ่ามืองามยกขึ้นจากนั้นลูกบอลกลมสีทองลูกหนึ่งก็บินออกมาจากในแขนเสื้อ

เสียงแกรกดังออกมา!

ลูกบอลกลมสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งก็พุ่งโต้ลมกลายเป็นหุ่นมนุษย์สูงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง ผิวสีทองของมันมียันต์ประหลาดมากมายแผ่อยู่เต็ม พวกมันส่องแสงวิบวับใต้แสงตะวันไม่หยุด คล้ายกับว่าทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด

หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง!

หุ่นสีทองตัวนี้ช่างดูคุ้นตา นี่ไม่ใช่หุ่นองครักษ์ตัวนั้นที่อยู่ข้างกายชิงหลิงขุยตี้แห่งหนานฮวงหรือ!

ซาฉู่เอ๋อร์สะบัดมือข้างหนึ่งอีกครั้ง เคล็ดวิชาสีทองสายหนึ่งร่วงลงบนตัวหุ่น ยันต์บนผิวของหุ่นมนุษย์ฉับพลันส่องแสง เสียงกึกๆ ดังขึ้น ในแขนสองข้างพลันมีแสงสีทองไหลเคลื่อน ขวานเล่มใหญ่สีทองสองเล่มโผล่ออกมา คมขวานสะท้อนแสงเป็นประกายเย็นเยียบ

“นี่เหมือนจะเป็นหุ่นที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ ของนิกายเทียนกง เจ้าได้มันมาจากที่ใด? แต่สาวน้อย หากเจ้าคิดว่าอาศัยเพียงหุ่นตัวเล็กๆ ตัวเดียวจะขวางหนึ่งการโจมตีของข้าได้ ถ้าเช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว” สายตาของบุรุษผู้สยายผมจับจ้องอยู่บนหุ่นมนุษย์สีทอง บนหน้าเขาปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นทันที

เพิ่งเอ่ยจบ เงายักษ์เบื้องหลังบุรุษผู้สยายผมก็เปล่งแสงสีม่วง ฝ่ามือยักษ์สีม่วงข้างหนึ่งยืดออกมา ห้านิ้วกางออกขณะที่ปลายนิ้วระเบิดแสงสีม่วงนับหมื่นสายออกมา คว้าลงมาหาพวกหลิ่วหมิงราวกับจะปิดท้องนภา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา