ไม่รู้ว่าหากผู้อาวุโสหานผู้นั้นพบว่าตนประลองกับซากกระบี่ระดับกลางและระดับต่ำส่วนใหญ่ของที่แห่งนี้ไปครบรอบจนทำให้พลังจิตวิญญาณที่กระบี่เหล่านี้สั่งสมมาส่วนใหญ่หมดเกลี้ยงจะคิดอย่างไร
ในเมื่อวันนี้เขาหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก หลังจากเขาโคจรปราณเล็กน้อยก็หยิบยันต์เคลื่อนย้ายที่ส่องแสงขมุกขมัวแผ่นนั้นออกมาแล้วฉีกมันจนแหลกอย่างไม่ลังเลสักนิดทันที
ครู่ต่อมาแสงเรืองรองสีขาวสายหนึ่งก็สาดออกมาจากด้านในล้อมร่างกายของเขาไว้ จากนั้นเขาก็กลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งหายไปจากเขากระบี่หัก
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงภาพเบื้องหน้าฉับพลันพร่าเลือนไม่ชัดไปวูบหนึ่ง เมื่อเขามองเห็นสภาพรอบด้านชัดเจนอีกครั้ง ทันใดนั้นก็พบว่าตนอยู่ท่ามกลางหมู่เขา ไม่ใช่ค่ายกลที่เคลื่อนย้ายเข้าไปเมื่อตอนนั้น หนึ่งลี้กว่าด้านหลังถึงจะเป็นที่ตั้งของยอดเขากระบี่สวรรค์
ในเวลาเดียวกันนี้ลำแสงหลากสีสันหลายสายก็พุ่งรวดเร็วไปทางยอดเขากระบี่สวรรค์อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เขาเห็นเช่นนี้ในใจก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดาได้คร่าวๆ ว่าสาเหตุที่คนเหล่านี้เร่งเดินทางมาน่าจะเกี่ยวข้องกับตน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดหรอกว่าการกระทำของตนที่เขากระบี่หักจะไม่มีใครรู้
แต่ในตอนนี้เขายังมีเรื่องมากมายต้องทำ การหลอมลูกกลอนกระบี่ครั้งนี้กินเวลาไปนานหลายปี เขาย่อมไม่ยากยุ่งวุ่นวายอะไรกับคนที่มาอีก
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงกระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์อีกครั้งแล้วเก็บงำกลิ่นอาย ออกไปจากอาณาเขตของยอดเขากระบี่สวรรค์อย่างเงียบเชียบ ขี่เมฆอ้อมทางไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
ใกล้ๆ กับห้องศิลาด้านหน้าค่ายกลเคลื่อนย้ายของเขากระบี่หัก ลำแสงหลากสีสันสายแล้วสายเล่าทยอยร่อนลงมา ในกลุ่มนั้นมีหลงเหยียนเฟยกับซาทงเทียนอยู่ด้วย
ชายหนุ่มผอมสูงผู้เฝ้าที่แห่งนี้ก็กำลังตะลึงเพราะปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่เกิดจากการหลอมลูกกลอนกระบี่ของหลิ่วหมิงเช่นเดียวกัน เวลานี้เห็นคนมากมายเช่นนี้รุมล้อมเข้ามายิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
“ศิษย์น้องซุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าปรากฏการณ์ประหลาดน่าตะลึงเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้ใดทำให้เกิดขึ้น?” ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ผู้เหยียบอยู่บนกระบี่หนาสีเหลืองคนหนึ่งมาถึงหน้าห้องศิลาก็เอ่ยถามเสียงดัง
จะว่าไปแล้วเนื่องจากศิษย์ผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับแก่นแท้ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้สัมผัสเขากระบี่หัก ดังนั้นในหมู่ศิษย์ต่ำกว่าระดับผลึก ที่แห่งนี้จึงนับว่าเป็นสถานที่ซึ่งค่อนข้างเร้นลับทีเดียว
ถึงอย่างไรถ้าพลังไม่พอบุ่มบ่ามเข้าไปก็็็อันตรายยิ่งนัก
ชายหนุ่มผอมสูงได้ยิน กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระตุกอยู่ครู่หนึ่ง รีๆ รอๆ อย่างห้ามไม่ได้
เวลาสี่ปีกว่าที่ผ่านมาด้านในแดนลึกลับมีหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยวผู้นั้นคนเดียว แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าตะลึงที่ฝ่าผนึกมิติของเขากระบี่หักออกมานี่ คนผู้นี้เป็นคนทำจริงหรือ
ขณะที่ชายหนุ่มผอมสูงอึกอักอยู่นั่นเอง เงาคนก็ปรากฏเลือนรางขึ้นกลางท้องฟ้า บุรุษชุดผ้าไหม สวมกวานหยกแลดูเยาว์วัยอย่างยิ่งคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า
ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ที่นั่นเห็นคนผู้นี้ สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาค้อมกายคำนับบุรุษกวานหยกแล้วขานเรียกพร้อมกันเป็นเสียงเดียว “คารวะผู้ควบคุมยอดเขา!”
บุรุษผู้สวมกวานหยกก็คืออวี้เหิงเจินเหรินผู้ควบคุมยอดเขากระบี่สวรรค์นั่นเอง ในหมู่ผู้ควบคุมยอดเขามากมายในนิกายสายในเขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เขาอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง แม้เป็นผู้ควบคุมยอดเขาแต่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์น้อยครั้งนัก
“ลุกขึ้นเถิด เรื่องที่นี่ข้ารับทราบแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องตระหนกตกใจ” อวี้เหิงเจินเหรินโบกมือแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
ศิษย์ทั้งหลายตรงนั้นได้ยินก็พากันยืดตัวขึ้น พวกเขาสบตามองกันพักหนึ่ง ศิษย์ผู้เหยียบอยู่บนกระบี่สีเหลืองเล่มหนาผู้แลดูมีตำแหน่งในยอดเขากระบี่สวรรค์ไม่ต่ำต้อยก็ก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่งเอ่ยถามด้วยเสียงนอบน้อม “ขอบังอาจถามท่านผู้ควบคุมยอดเขา ปรากฏการณ์ประหลาดในที่แห่งนี้ที่แท้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
อวี้เหิงเจินเหรินดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบเรียบๆ
“เมื่อครู่ข้าตรวจสอบด้วยวิชาลับแล้ว มีคนเลี้ยงกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของตนในสุสานกระบี่ที่เขากระบี่หักจนเกิดเป็นลูกกลอนกระบี่สำเร็จ ดังนั้นจึงชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินเช่นนี้”
“อะไรกัน เป็นปรากฏการณ์ของลูกกลอนกระบี่จริงๆ…นี่…ผู้อาวุโสท่านใดของยอดเขาเราหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จหรือขอรับ?” ศิษย์ที่เหยียบอยู่บนกระบี่สีเหลืองเล่มหนาตะลึง จากนั้นเอ่ยถามบุรุษกวานหยกอย่างนอบน้อม
“คนผู้นี้หาใช่ผู้อาวุโสของยอดเขาเรา แต่เป็นหลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยว” อวี้เหิงเจินเหรินยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
“หลิ่วหมิง! คนผู้นี้หรือ!”
“ไม่ใช่คนของยอดเขากระบี่สวรรค์ของพวกเรา…”
ระยะนี้หลิ่วหมิงมีชื่อเสียงโด่งดังในนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์สายนอกหรือสายในล้วนรู้จักแทบทุกคน เมื่อได้ยินคำนี้ของบุรุษกวานหยกก็ประหนึ่งหินยักษ์ก้อนหนึ่งร่วงลงบนผิวบึงราบเรียบพาให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮาดังระงมทันที
ซาทงเทียนที่ยืนอยู่ในหมู่คนได้ยินคำว่า ‘หลิ่วหมิง’ สองคำ ใบหน้าฉับพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
แม้เขาหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว แต่ยังฝึกฝนไม่ถึงขั้นใจกับกระบี่รวมเป็นหนึ่ง หลิ่วหมิงกลับฝึกฝนจนสร้างลูกกลอนกระบี่ที่เล่าลือกันว่ามีเพียงผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับแก่นแท้ถึงจะมีโอกาสแตะต้องสำเร็จแล้ว
ความห่างชั้นของทั้งสองคนยิ่งมากขึ้นทุกที!
ในใจซาทงเทียนราวกับถูกอสรพิษขย้ำจนแทบจะหายใจไม่ทัน มือกำหมัดแน่น กระทั่งเล็บก็กรีดฝ่ามือจนเป็นแผล เลือดไหลซึมออกมาก็ยังไม่รู้สึก
หลงเหยียนเฟยตกตะลึงอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน นางเกือบจะคิดว่าตนเองฟังผิด แต่จากนั้นก็ตระหนักถึงปัญหาเรื่องหนึ่งขึ้นได้ การหลอมลูกกลอนกระบี่จำต้องมีพลังเวทและพลังจิตมหาศาลอย่างที่สุดเป็นตัวหนุน โดยทั่วไปแล้วมีแต่ผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับแก่นแท้ถึงจะเริ่มฝึกฝนได้ หรือหลิ่วหมิงจะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา