ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 89

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 89 เริ่มการประลองใหญ่
ตอนที่ 89 เริ่มการประลองใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครู่ต่อมา หลังจากที่เขาอ่านจนเข้าใจ และจดจำไว้ในใจแล้ว ถึงได้ละสายตาไปมองศิษย์คนอื่นๆ ที่รวมตัวอยู่บนเขาหินอย่างคร่าวๆ

ศิษย์เก่าที่อายุสามสิบปีขึ้นไปเหล่านั้นต่างก็ยืนอยู่ห่างจากแผ่นศิลาจันทราค่อนข้างไกล โดยจับกลุ่มกันสองสามคนชี้ไปยังกลุ่มคนต่างๆ และวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่หยุด

ศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองใหญ่ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มีศิษย์อายุยังน้อยบางคนมีสีหน้าตื่นเต้น และมีอารมณ์คึกคักอยากจะลองดู

หลังจากหลิ่วหมิงมองออกไปเพียงรอบเดียว ก็ค้นพบว่าในนั้นมีคนจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าอยู่มาก เช่นมู่อวิ๋นเซียนที่ยืนอยู่ข้างตู้ไห่ เจียหลาน เหลยเจิ้น สือชวน และคนอื่นๆ

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน เขารีบหันหน้ากลับไปมองทันที

ท่ามกลางวงล้อมของศิษย์จำนวนหนึ่ง ซือหม่าเทียนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเยือกเย็น พอเห็นเขามองกลับมาถึงได้ละสายตากลับโดยที่สีหน้าไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้เขาก็ค่อยๆ คิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา

“ศิษย์พี่ไป๋ ที่แท้ท่านก็อยู่นี่เอง ครั้งนี้คิดจะขึ้นไปประลองดูไหม?” เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับน้ำเสียงอันตื่นเต้นของหญิงสาว

หลิ่วหมิงหันหน้ามาด้วยความแปลกใจ เขาเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็คือเซวียซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนนั่นเอง

ตอนนี้รูปร่างของเซวียซานสูงใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ใบหน้าของวั่นเสี่ยวเชี่ยนมีความเขินอายเล็กน้อย

ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองแตกต่างกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิง

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเซวียกับศิษย์น้องวั่น! ถ้ามีโอกาสล่ะก็ข้าก็คิดที่จะขึ้นไปลองดูอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“หนึ่งปีก่อนศิษย์พี่ไป๋ได้ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ตอนนี้พลังเวทย์คงจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าเข้าร่วมการประลองล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่มีหวังที่จะจารึกชื่อบนแผ่นศิลาจันทรา ยังไงซะศิษย์ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของนิกายเราก็มีไม่ถึงร้อยคน” วั่นเสี่ยวเชี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

การประลองเล็กครั้งก่อน หญิงนางนี้ก็ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว แต่เนื่องจากเวลาสั้นเกินไปทำให้ยังไม่สามารถเข้าแย่งชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำได้

“ฮึ! เป็นแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายก็คิดที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำ พวกเจ้าฝึกฝนอยู่ในนิกายอีกสามสี่ปีแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ชายหนุ่มผู้มีกระบี่ยาวสีเงินเสียบอยู่ตรงเอวเดินเข้ามาแล้วกล่าวกับทั้งสามอย่างเย็นชา

“เอ๋! ที่แท้ก็คือศิษย์พี่สีนี่เอง ครั้งก่อนศิษย์พี่ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้ คิดว่าครั้งนี้ก็คงจะยังมีชื่ออยู่แผ่นศิลาจันทราต่อไป” ตอนแรกที่เซวียซานได้ยินคำพูดก็รู้สึกโมโห แต่พอเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของชายหนุ่มก็ฝืนยิ้มกล่าวออกไป

การประลองสองครั้งก่อน ศิษย์พี่สีผู้นี้ก็ปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในศิษย์เก่า แสดงพลังได้แข็งแกร่งมาก ในบรรดาศิษย์เก่าของสาขาเก้าทารกเขาเป็นรองแค่ศิษย์พี่สือชวนเท่านั้น เขามีท่าท่าทีสบประมาทต่อศิษย์ใหม่อย่าเซวียนซานและคนอื่นๆ มาโดยตลอด!

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว กำลังคิดที่จะพูดอะไรออกมา แต่ก็มีเสียงอันเย็นชาดังมาจากอีกทิศทางหนึ่ง

“ฮึ! ใครบอกว่าศิษย์ใหม่อย่างพวกเรา ไม่สามารถจารึกชื่อไว้บนแผ่นศิลาจันทราได้”

เซวียนซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนมองไปด้วยความตกตะลึง เจ้าของเสียงนั้นคือเซียวเฟิงที่ไม่รู้ว่าเข้ามาบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และจ้องมอง ‘ศิษย์พี่สี’ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“เซียวเฟิง ถ้าไม่ใช่ว่าอาจารย์กุยให้ความสำคัญกับเจ้า ให้พื้นที่การฝึกฝนแก่เจ้า และยังชี้แนะด้วยตนเอง เจ้าจะก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้เร็วถึงเพียงนี้หรือ?” พอศิษย์พี่สีเห็นเซียวเฟิง ก็กล่าวออกมาโดยไม่สามารถปิดบังความรู้สึกอิจฉาที่ซ่อนไว้ในใจได้

สำหรับเขาแล้ว พอศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอย่างเซียวเฟิงผู้นี้เข้ามาในสาขา ก็ครอบครองทรัพยากรบนเขาไปจำนวนมาก คนผู้นี้ย่อมน่ารังเกียจยิ่งกว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ

“ฮึ! ข้าไม่สนใจวิธีการหรอก ท่านคิดว่าใครก็สามารถใช้เวลาสามถึงสี่ปีในการบรรลุเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้เหรอ? ไม่ทราบว่าตอนนั้นศิษย์พี่สีใช้เวลานานแค่ไหนถึงฝึกฝนมาถึงขึ้นนี้ได้?” เชียวเฟิงยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาไม่ไว้หน้าฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย

“เจ้า…”

ศิษย์พี่สีได้ยินก็โมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับฝ่ายตรงข้ามไปอย่างไรดี

“ศิษย์น้องทั้งหลาย ใยต้องใช้อารมณ์ชั่ววูบถกเถียงกันด้วยล่ะ!”หลังจากมีเสียงถอนหายใจเบาๆ ก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนบริเวณนั้น

หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คนผู้นั้นก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกที่ชื่อสือชวนผู้นั้นนั่นเอง

เขาไม่ได้แปลกใจที่สือชวนมาอยู่ที่นี่ แต่จากพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขารับรู้ได้ลางๆ ว่ากลิ่นไอพลังของฝ่ายตรงข้ามแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่ามีกลิ่นไอเย็นยะเยือกบางอย่างบนร่างเขา

หลิ่วหมิงมองไปที่เอวของเขาด้วยตาที่เป็นประกาย ตรงนั้นมีถุงหนังยันต์อักขระสีแดงเขียวอยู่ใบหนึ่ง เหมือนกับว่ามันเป็นที่มาของกลิ่นไออันเยือกเย็นนี้

“ศิษย์พี่สือ”

พอเห็นการปรากฏตัวของสือชวน ไม่ว่าจะเป็นเซวียซาน วั่นเสี่ยวเชี่ยน ศิษย์พี่สี หรือว่าเซียวเฟิง ต่างก็รีบทักทายเขาทันที

หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ทำการคารวะศิษย์พี่สือ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา