แน่นอนว่าลานประลองหินที่อยู่อันดับท้ายๆ จะถูกรายล้อมด้วยคนจำนวนมากกว่าที่อื่น
จากการประลองใหญ่ที่ผ่านมา ศิษย์แกนนำที่มีชื่ออยู่อันดับท้ายๆ จะถูกท้าสู้บ่อยที่สุด
เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”
เมฆเทาแต่ละก้อนทะยานขึ้นฟ้า ศิษย์แกนนำแต่ละคนต่างก็ยืนอยู่ใต้ธงที่บ่งบอกตำแหน่งของตนเองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่กลิ่นไอพลังของแต่ละคนนั้นไม่อาจสบประมาทได้
ผู้คนที่อยู่ใต้ลานประลองหินต่างก็ค่อยๆ เลือกท้าสู้คนที่ต้องการ ลานประลองหินบางแห่งมีคนสี่ห้าคนขึ้นไปท้าสู้พร้อมกันบนลานแล้ว
อาจารย์จิตวิญญาณที่รับผิดชอบดำเนินการประลอง ให้คนเหล่านี้กับคู่ต่อสู้ลงนามความเป็นความตาย และกระตุ้นค่ายกลป้องกันที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก
ม่านโปร่งแสงปรากฏออกมาปกคลุมลานประลองไว้
คู่ต่อสู้แต่ละคู่ต่างก็แสดงวิชาหรือเรียกปีศาจของตนเองออกมาแล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น และเพียงครู่เดียวก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้สมที่อยู่นอกม่านแสง
หลิ่วหมิงไม่ได้อยู่ในลานประลองเหล่านี้ แต่กลับเดินไปยังด้านหน้าลานประลองหินของศิษย์แกนนำอันดับหนึ่งถึงสิบ
ลานประลองนี้เงียบสงัดมาก แต่บริเวณนั้นก็มีคนเบียดเสียดกันอยู่ไม่น้อย พวกเขาต่างก็จ้องมองศิษย์แกนนำทั้งสิบที่อยู่บนลานประลอง และวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างกันเบาๆ
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว การประลองใหญ่ครั้งนี้เขาจะต้องชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาให้ได้ เช่นนี้แล้วถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายในภายหลัง เขามุ่งหวังที่จะได้รับทรัพยากรและผลประโยชน์ในการฝึกฝนที่มากยิ่งขึ้น และจะได้บรรลุเข้าถึงศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้เร็วขึ้นด้วย
ด้วยเหตุนี้ คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเขาย่อมเป็นศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และผู้ท้าสู้คนอื่นๆ ที่ต้องการเข้าร่วมการจัดอันดับเดียวกัน
หลิ่วหมิงแค่กวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆ ก็เห็นเกาชง เหลยเจิ้น เจียหลาน และคนอื่นที่ใบหน้าคุ้นเคย รวมทั้งศิษย์หลายคนที่ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
พอคนเหล่านี้เห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย บางคนก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา บางคนก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
ส่วนศิษย์แกนนำบนลานประลองทั้งสิบ หลิ่วหมิงแค่มองออกไปก็เห็นหยางเฉียนที่ใส่หน้ากากสีเงินอยู่
ศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกายปีศาจที่ผู้คนร่ำลือกันผู้นี้ กำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ธงอย่างไม่สะทกสะท้าน
ภายใต้ธงเสาที่สอง คือชายรูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่ง ที่มีผมยาวยุ่งเหยิงเต็มศีรษะ และแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาไม่หยุด ส่วนลำดับถัดมาเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวทั้งตัว ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเรียวเล็ก ทำให้คนรู้สึกอันตรายเป็นอย่างมาก
ใต้เสาธงที่สี่เป็นหญิงเสื้อเหลืองที่ใบหน้าสวยงาม นางชื่อ ‘เฉียนฮุ่ยเหนียง’ ที่ก่อนหน้านั้นเขาเคยเห็นชื่อของนางบนแผ่นศิลาจันทรา
คนที่ห้าคือ…
หลิ่วหมิวพินิจดูศิษย์เหล่านี้ทีละคน และคิดทบทวนไปมาในใจอย่างรวดเร็ว
ลานประลองหินอื่นๆ ต่างก็มีคนเริ่มประลองกันแล้ว แต่ลานประลองหินนี้ยังคงเงียบสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีคนขึ้นไปท้าสู้
แต่ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมผ้าดิ้นหนวดเคราเต็มหน้า ที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณรับผิดชอบดำเนินการประลองในลานประลองนี้ กลับไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาพลันสะบัดแขนเสื้อขึ้นมา นาฬิกาทรายขนาดเล็กลื่นไหลออกมาจากในนั้นพร้อมกับกล่าวอย่างราบเรียบว่า
“ถ้าไม่มีคนขึ้นมาท้าชิงภายในเวลาหนึ่งเค่อ[1] จะถือว่าศิษย์ทั้งหมดสละสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งของศิษย์แกนนำบนลานประลองนี้ ข้าจะเริ่มจับเวลาตั้งแต่บัดนี้!”
เม็ดทรายเล็กละเอียดค่อยๆ ไหลลงด้านล่าง
ฉากนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองเกิดความวุ่นวายขึ้นมา
สุดท้ายก็มีคนกระโดดเหาะขึ้นไปบนลานประลอง
“ศิษย์ตู้อวี้ อยากขอท้าสู้กับศิษย์พี่เย่ที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับสิบ!” ผู้ที่กระโดดขึ้นบนลานประลองเป็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือพัดดอกท้อสีชมพูอยู่ด้ามหนึ่ง เขากล่าวกับชายชุดผ้าดิ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ่อๆ! คิดที่จะท้าสู้กับข้าเหรอ ข้าเองก็ว่างจนคันไม้คันมืออยู่พอดี” ที่ตรงด้านใต้ของธงเสาที่สิบ ชายหนุ่มร่างกำยำสวมห่วงทองรัดศีรษะผู้หนึ่งได้ยืนขึ้น แล้วหัวเราะกล่าวออกมา
“ดี! พวกเจ้าลงนามความเป็นความตายก่อน!” ชายฉกรรจ์คว้ามือไปดูดนาฬิกาทรายเก็บเข้าไปที่เดิม ส่วนมืออีกข้างก็มีแสงเปล่งประกายม้วนตัวออกมา ป้ายคำสั่งสีแดงเลือดแผ่นหนึ่งลอยออกมาแล้วหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
เมื่อทั้งสองเห็นเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที แล้วต่างก็หยดเลือดบริสุทธิ์ลงไปบนป้ายคำสั่ง จากนั้นก็ถอยออกไปหลายก้าวแล้วจ้องมองดูอยู่ไกลๆ
เสียงดังกังวานออกมาจากแผ่นป้ายคำสั่ง อักขระสีเลือดพรั่งพรูกันออกมา จากนั้นก็หายเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ชายชุดผ้าดิ้นเห็นเช่นนี้ ถึงได้เรียกป้ายคำสั่งกลับมาแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“การประลองเริ่มต้น ณ บัดนี้!”
พอเสียงสิ้นสุดลง เขาก็กระทืบเท้าทันที ค่ายกลสีขาวเปล่งประกายออกมา ม่านแสงสีขาวมัวปรากฏขึ้นแล้วปกคลุมลานประลองไว้ ขณะเดียวกันเขาก็ถอยตัวออกไปจากม่านแสงนั้น ก่อนที่จะมันจะปกคลุมจนทั่วลานประลอง แล้วค่อยๆ เหาะขึ้นไปยืนดูอยู่บนม่านแสง
“พรึ่บ!”
ชายหนุ่มถือพัดแค่สะบัดข้อมือ พัดดอกท้อในมือก็กลายเป็นพายุสีชมพูม้วนตัวออกไป ในขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้าง กลิ่นไอหอมหวานตลบอบอวลไปทั่วม่านแสงภายในพริบตาเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา