ปลายนิ้วของหญิงเสื้อแดงเย็นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นโลหิตก็พุ่งเป็นสายออกจากในนั้น หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็กลายเป็นอสรพิษเพลิงยาวสี่ห้าจั้ง มันอ้าปากกัดลงไปบนเงาแถบผ้าสีเหลือง
พริบตานั้นเอง แสงละลานตาก็ปรากฏตรงด้านหน้าของต้วนฉานจู่ อสรพิษเพลิงทำลายเกราะป้องกันอย่างเงาแถบผ้าสีเหลืองได้ จากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่หน้าอกของเขา
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น!
อสรพิษเพลิงระเบิดตัวออกมากลายเป็นเสาเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับม้วนตัวห่อหุ้มต้วนฉานจู่ไว้ในนั้น
และในขณะเดียวกันง่ามบินอัคคีทั้งสองก็หมุนวนอยู่บริเวณนั้นด้วย แล้วมันก็เปล่งประกายพร้อมกับพุ่งโจมตีผ่านอากาศไปโดนตัวต้วนฉานจู่ ทำให้เขาถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มไว้ในนั้น
ขณะนี้ศิษย์ที่ยืนดูอยู่นอกม่านแสงต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันร้อนแรงที่ออกมาจากในนั้น พร้อมกับเบิกตาจ้องมองอย่างไม่กะพริบ
เมื่อเสาเพลิงหายไปในอากาศแล้ว ร่างของต้วนฉานจู่ก็ร่วงลงมาบนลานประลอง
ผู้คนทั้งหมดจ้องมองแล้วต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ร่างของต้วนฉานจู่ตอนนี้ดำเกรียมตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นถ่านไปเสียแล้ว
“ฮึ! เจ้าบีบบังคับให้ข้าใช้เคล็ดวิชาอสรพิษเพลิงได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ถ้าคิดที่จะชิงตำแหน่งของข้าล่ะก็คงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย!” หญิงชุดแดงตรงข้ามลดแขนลงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
ตอนนี้แก้มทั้งสองของนางแดงฉานกว่าปกติ ทำให้ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม
ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ก็สิ้นเปลืองพลังของนางไปไม่ใช่น้อย
“เช่นนั้นหรือ? แต่เมื่อข้าได้เห็นการโจมตีของศิษย์พี่แล้ว ข้ากลับมีความมั่นใจที่จะชิงตำแหน่งของศิษย์พี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม” ตอนที่หญิงชุดแดงกำลังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมอาจารย์จิตวิญญาณถึงไม่ประกาศผลชนะสักทีนั้น พลันมีเสียงดังมาจากร่างดำเกรียมที่อยู่ไกลๆ
ท่ามกลางสายตาที่คาดไม่ถึงของผู้คน ร่างเกรียมดำที่ควรจะสลบไปแล้วกลับค่อยๆ ลุกขึ้นมา หลังจากขยับแขนขาเล็กน้อย ชั้นหนังสีดำบนร่างก็ค่อยๆ หลุดออกมาราวกับเป็นหนังที่ตายแล้ว พริบตาเดียวก็เผยให้เห็นถึงผ้าพันแผลสีเหลืองอ่อนใหม่เอี่ยมอ่องแต่ละชั้นที่พันแน่นไปทั่วร่างของเขา จนแม้แต่ลมฝนก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้ เหลือไว้เพียงแค่ส่วนที่ถัดจากลำคอขึ้นไปเท่านั้น
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“สมกับเป็นเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสังสรรค์ที่ฝึกฝนยากที่สุด และคงจะฝึกฝนจนสำเร็จขั้นต้นแล้ว ฮ่าๆ! ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องเฟยคงจะต้องพ่ายแพ้จริงๆ แล้ว” ชายสวมชุดคลุมเขียวตรงธงเสาที่สองที่มีนามว่า ‘เฟิงฉาน’ เห็นเช่นนี้ก็ตบมือหัวเราะใหญ่
และ ‘ศิษย์น้องเฟย’ ที่เขากล่าวถึงนั้น ท่ามกลางความตกใจนางก็รู้สึกหวาดผวาอย่างช่วยไม่ได้ แต่พอกัดฟันก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่เชื่อว่าครั้งต่อไปเจ้าจะรอดไปได้อีก” เมื่อกล่าวจบนางก็ยกแขนขึ้นมา ปลายนิ้วสีแดงชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
แต่ในขณะนั้นเอง ต้วนฉานจู่ที่ยังดูเหมือนจะเชื่องช้ากลับยกแขนทั้งสองขึ้นเช่นกัน เขากางนิ้วมือทั้งห้าออกจากกันและสะบัดออกไปเบาๆ
บังเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นขึ้น!
แถบผ้าเกือบร้อยเส้นพุ่งออกไปจากมือ หลังจากที่มันส่ายสะบัดจนดูลางเลือนแล้วก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเหลืองแผ่คลุมหญิงสาวชุดแดงราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
พอนางเห็นสถานการณ์เช่นนี้สีหน้าก็ซีดขาว ปลายนิ้วของนางค่อยๆ สั่นไหว โลหิตเปล่งประกายออกไปเป็นสาย อสรพิษเพลิงอีกตัวคำรามพร้อมกับกระโจนเข้ามา แต่หลังจากที่ทะลุออกจากตาข่ายได้แค่ไม่กี่ชั้นก็สลายตัวไปท่ามกลางเสียงร้องอันน่าเวทนา
ส่วนง่ามบินอัคคีทั้งสองที่กลายเป็นเปลวไฟ ก็ถูกตาข่ายยักษ์ม้วนเข้าไปในนั้น มันดูราวกับปลาน้อยที่ถูกจับโดยไม่สามารถดิ้นรนได้ ครู่เดียวเปลวไฟก็มอดไหม้จนดับลงไป
ต่อมาถึงแม้ว่าหญิงชุดแดงผู้นี้จะเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมแพ้ ทั้งยังปล่อยลูกเปลวไฟแต่ละลูกออกมาโจมตีแถบผ้าที่พันอยู่ไม่หยุด แต่ก็หาได้เกิดประโยชน์อันใดไม่
หลังจากผ่านไปสักครู่ นางก็ถูกล้อมรอบด้วยแถบผ้าที่เกือบจะปกคลุมไปทั่วลานประลองจนไม่สามารถหลบหลีกได้ จากนั้นก็ถูกรัดแน่นจนล้มลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก
“ข้ายอมแพ้แล้ว รีบปล่อยข้าไป!”
หญิงชุดแดงนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าแดงก่ำ ทำได้เพียงแค่เปล่งเสียงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้
ได้ยินเช่นนี้ อาจารย์จิตวิญญาณก็เหาะลงมาพร้อมกับม่านแสงที่สลายไป และประกาศว่าต้วนฉานจู่เป็นผู้ชนะ
ต้วนฉานจู่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นค่อยเก็บแถบผ้าทั้งหลายคืนกลับมา เขาโค้งคารวะให้กับอาจารย์จิตวิญญาณ แล้วก็เดินไปยังใต้ธงเสาที่หกด้วยมาดหยิ่งยโส
และหลังจากที่หญิงชุดแดงลุกขึ้นแล้ว ก็จ้องมองต้วนฉานจู่อย่างดุเดือด แล้วค่อยกระโดลงไปจากลานประลอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา