ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 92

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 92 พลังอัสนี
ตอนที่ 92 พลังอัสนี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์น้องเกาชงคิดว่าตำแหน่งของตนเองสูงกว่าข้างั้นหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หันตัวกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม

“หรือว่าข้าพูดผิดไป ข้าเป็นศิษย์ติดตามของท่านประมุข เจ้าเป็นแค่ศิษย์สาขาทั่วไป ไม่ว่ายังไงตำแหน่งข้าในนิกายก็สูงกว่าศิษย์น้องไป๋ถูกต้องไหม?” เกาชงถามด้วยสีหน้าสงบ

“เช่นนั้นหรือ? ข้าไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่ แต่เคยได้ยินคนพูดกันว่าในระหว่างการประลองใหญ่ ศิษย์ที่เข้าการประลองทุกคนล้วนมีตำแหน่งเสมอกัน ไม่สามารถแบ่งชนชั้นได้ คงเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์น้องเกาจะไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ” หลิ่วหมิงถอนหายใจราวกับว่ากำลังรู้สึกผิดหวัง

“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องไป๋จะฝีปากดีเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าขี้เกียจเอามันมากวนใจ ข้ามาหาเจ้าด้วยตนเองก็เพราะว่าอยากจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากตอนนี้เจ้ายอมเขียนหนังสือถอนหมั้น เรื่องราวก่อนหน้านี้ทั้งหมดข้าจะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในนิกายปีศาจได้อย่างอิสระ มิเช่นนั้นล่ะก็พอเจ้าขึ้นลานประลองก็อย่าหวังว่าจะเดินลงไปเองได้” เกาชงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“หนังสือถอนหมั้น แน่นอนว่าข้าสามารถเขียนได้ ขอแค่ศิษย์น้องหมิงจูให้ตระกูลมู่เป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ข้าก็จะไม่โต้แย้งใดๆ” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วตอบกลับไป

“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้บิดาข้าเป็นคนพูดเรื่องถอนหมั้นก่อน!” มู่หมิงจูกัดฟันกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็จนปัญญา ถึงแม้ข้าไม่ได้สนใจที่จะแต่งกับเจ้า แต่ในฐานะลูกหลานตระกูลไป๋ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของนายท่านประจำตระกูลได้” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะกล่าวออกมา

“เจ้า…” มู่หมิงจูรู้สึกโมโหและกำลังคิดที่จะพูดอะไรออกมา แต่เกาชงก็โบกมือห้ามคำพูดของนางไว้ เขาแค่จ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ดูเหมือนเจ้าจะโง่กว่าที่ข้าคิดไว้มาก ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก ข้าจะเตือนด้วยความหวังดี อย่าคิดว่าทำให้ซือหม่าเทียนกลัวได้แล้วมาเบ่งกับข้าได้ หมิงจู ไปกันเถอะ! อีกประเดี๋ยวข้าสร้างความยุ่งยากให้เขา จนเขาต้องยอมเอ่ยปากคำว่า ‘ถอนหมั้น’ ออกมาเอง”

พอพูดจบเกาชงก็ลากมู่หมิงจู และพาคนคนอื่นๆ หมุนตัวเดินจากไป

หลิ่วหมิงแค่ยืนเงียบๆ จ้องมองดูแผ่นหลังของพวกเขาอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร และแววตาของเขาก็เปล่งประกายอันเยือกเย็นออกมา

สำหรับผู้ที่ผ่านการต่อสู้เฉียดความตายมานับไม่ถ้วนอย่างเขา ถึงแม้เกาชงจะดูแข็งแกร่งกว่าหลายปีก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่ในเมื่อยังไม่ได้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ทำไมเขาจะต้องกลัวด้วยเล่า

ตอนนั้นที่หลิ่วหมิงอยู่บนเกาะมฤตยู เขาฆ่าคนสารเลวไปจำนวนมากตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเอาชีวิตรอดจากการตะลุมฆ่าฟันมาได้หลายครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากกว่าที่คนธรรมดาจะคาดคิดได้

ถ้าหากว่าเกาชงลงมือกับเขาในการประลองใหญ่ครั้งนี้จริงๆ เขาจะต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามตื่นตระหนกตกใจอย่างแน่นอน และในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเผยความคิดที่จะฆ่าเขาออกมา เขาก็จะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน

ถ้าหากการประลองรุนแรงจนเขาพลั้งมือฆ่าคู่ต่อสู้หรือทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บ มันก็ใช่ว่าจะอภัยให้ไม่ได้

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ จากนั้นก็หันหน้าไปดูการประลองอันดุเดือดบนลานประลองอีกครั้ง

บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ กุยหรูฉวนมองเห็นฉากที่เกาชงพาคนไปหาเรื่องหลิ่วหมิง เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็หันมากล่าวกับประมุขนิกายปีศาจ

“ศิษย์พี่ท่านประมุข ดูเหมือนว่าเกาชงกับศิษย์สาขาข้าจะมีเรื่องขัดแย้งกัน ผู้อาวุโสอย่างเราต้องไปช่วยขจัดความขัดแย้งนี้สักหน่อยไหม?

“อ้อ! ดูเหมือนว่าศิษย์ผู้นั้นจะไม่ใช่เซียวเฟิงใช่ไหม พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ร้อน ถ้าหากมีเรื่องขัดแย้งกันบ้างย่อมเป็นเรื่องปกติ ให้พวกเขาจัดการกันเองก็พอแล้ว ผู้อาวุโสอย่างพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งจะดีกว่า!” ประมุขนิกายปีศาจมองไกลๆ ไปยังที่ที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

ประจักษ์ชัดว่าเขาไม่เห็นฉากความขัดแย้งของเกาชงกับหลิ่วหมิงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“ในเมื่อท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ก็ยึดตามนี้เถอะ แต่เจ้าเด็กชงเทียนผู้นี้ยังนับว่ามีศักยภาพอยู่บ้าง ที่ศิษย์น้องจูชื่อได้เหล็กแสงเย็นทะเลลึกมาจากตลาดเผ่าเจ้าสมุทรได้ ล้วนมาจากความสามารถของเขา” กุยหรูฉวนขมวดคิ้วกล่าวออกมา

เรื่องนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้ในทันที

“ชงเทียน? อ๋อ! ทีแท้ก็เด็กคนนี้นี่เอง ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมชงเอ๋อร์ถึงได้ไปขัดแย้งกับเขาได้ อืม! ข้าจำได้แล้ว ศิษย์ผู้นี้ถึงแม้จะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่พลังจิตแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขานับว่าเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง เอาอย่างนี้เถอะ! อีกสักครู่ข้าจะกำชับศิษย์น้องหวังไว้ ถ้าหากว่าพวกเขาทั้งสองได้เจอกันในการประลองใหญ่จริงๆ ก็ให้เพิ่มความสนใจดูอย่างละเอียดอีกสักหน่อย และพยายามอย่าให้มีเรื่องการทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้น”

“ขอบคุณศิษย์พี่ท่านประมุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” กุยหรูฉวนกล่าวขอบคุณอย่างโล่งอก

สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ในใจของกุยหรูฉวนนั้นกลับรู้สึกเสียใจมาโดยตลอด

ด้วยความสามารถที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาหลายครั้งในก่อนหน้านี้ มันเพียงพอที่จะให้เขาเป็นศิษย์ติดตามได้แล้ว แม้กระทั่งถ้าหากเขาย้ายไปสาขาอื่นคงจะถูกอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นรับเป็นศิษย์ติดตามแล้ว

แต่เสียดายที่ทรัพยากรของเขาเก้าทารกค่อนข้างจะขาดแคลนไปหน่อย! สำหรับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่แทบจะไม่มีความหวังกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้นั้น พวกเขาไม่มีทรัพยากรเหลือพอที่จะแบ่งไปให้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับเป็นศิษย์ติดตามได้

“เฮ้อ! คำพูดเมื่อครู่นี้นับว่าได้ช่วยตอบแทนเจ้าเด็กคนนี้ไปแล้ว!” กุยหรูฉวนคิดใคร่ครวญแล้วแอบถอนหายใจ

ในเมื่อข่าวมงคลระหว่างตระกูลไป๋กับตระกูลมู่พัวพันกับศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธาอย่างเกาชง มันก็ย่อมมีข่าวแพร่งพรายมาถึงหูกุยหรูฉวนบ้าง

ชื่อเสียงและตำแหน่งในนิกายปีศาจของเกาชงและหลิ่วหมิงนั้น ย่อมไม่อาจเทียบกันได้

อีกอย่างเรื่องนี้ยังพัวพันถึงเรื่องเตาหลอมพลังที่เกาชงจำเป็นต้องใช้ในการทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เขาเลยพูดอะไรมากไม่ได้

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว การประลองบนลานประลองอื่นๆ ยังคงดุเดือดเช่นเดิม ศิษย์แต่ละคนต่างก็ทยอยขึ้นไปท้าสู้บนลานประลองไม่หยุด

ผู้ที่ถูกท้าสู้สิบคนบนเวที ก็เปลี่ยนหน้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าดูเหมือนว่าตำแหน่งของศิษย์แกนนำเกือบครึ่งหนึ่งก็ถูกแทนที่ด้วยศิษย์คนใหม่ๆ

แน่นอนเป็นเพราะว่าศิษย์ทุกคนต่างก็ใช้สิทธิ์การท้าสู้สามครั้ง และเมื่อศิษย์แกนนำพ่ายแพ้แล้วก็ยังสามารถท้าสู้ได้อีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา