ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 891

สรุปบท ตอนที่ 891 ค่ายกลโปรดสัตว์สำแดงเดชครั้งแรก: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนที่ 891 ค่ายกลโปรดสัตว์สำแดงเดชครั้งแรก – ตอนที่ต้องอ่านของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอนนี้ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 891 ค่ายกลโปรดสัตว์สำแดงเดชครั้งแรก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 891 ค่ายกลโปรดสัตว์สำแดงเดชครั้งแรก
เจ็ดวันให้หลัง ในเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณสองหมื่นกว่ากิโลเมตรแห่งหนึ่ง

อากาศของที่แห่งนี้ร้อนระอุเป็นพิเศษ เทือกเขาทั้งเส้นเป็นสีแดงฉาน นอกจากนี้ไอหมอกยังลอยวนเวียน ทอดมองไกลออกไปเห็นเป็นรูปบิดเบี้ยวเล็กน้อย อีกทั้งทั่วทั้งเทือกเขาแทบจะมองไม่เห็นเงาของพืชพันธุ์อันใดเลย

นอกเหนือจากนี้ยังมองเห็นยอดเขามีควันดำสายแล้วสายเล่าลอยออกมาเป็นระยะพร้อมกับพ่นธารลาวาสีแดงฉานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ปากปล่องภูเขาไฟสูงถึงพันจั้งที่ยังคุกรุ่นลูกหนึ่งฉับพลันระเบิดเสียงดังก้อง เงาสีดำร่างหนึ่งเหาะออกมาจากปากปล่องภูเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนักท่ามกลางเศษหินเต็มท้องฟ้า เขาไม่พูดพร่ำบินเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่งเหมือนต้องการหนีไปให้ไกลโพ้น

ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจที่เงาดำเพิ่งเหาะออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ในปากปล่องภูเขาไฟพลันมีแสงสีแดงสว่างวาบ บางสิ่งซึ่งมหึมาและเป็นสีแดงจัดแหวกท้องฟ้าไล่ตามเงาดำไปติดๆ

เงาดำเดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวเลี้ยวขวาอย่างว่องไวกลางอากาศ เขาเปลี่ยนทิศทางไม่หยุดโดยที่ความเร็วเพิ่มขึ้นทุกชั่วขณะ ส่วนเงาสีแดงด้านหลังก็ไล่ตามมาติดๆ ไม่ว่าเงาดำด้านหน้าจะเปลี่ยนทิศทางอย่างไรก็ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแม้แต่น้อย

ทั้งสองฝั่ง ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม พริบตาเดียวก็ออกจากเขตภูเขาไฟ เหาะออกมาไกลสิบกว่าลี้

ในเวลานี้เองเงาดำด้านหน้าฉับพลันทิ้งตัวลง ดิ่งอย่างรวดเร็วลงไปในหุบเขาดำมืดแห่งหนึ่งเบื้องล่าง

เงาสีแดงกลับชะลอร่างกาย มันหันหัวมองไปทางปากปล่องภูเขาไฟทีหนึ่ง จากนั้นแสงสีแดงรอบร่างก็สลายออกเผยให้เห็นร่างที่แท้จริง

นี่คือปีศาจอสูรสูงเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างคล้ายอาชา ร่างกายเพรียวลม ส่วนหางมีขนหางนุ่มลื่นสีแดงก่ำสะบัดซ้ายขวาราวกับเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้กองหนึ่ง ส่วนบนหัวของมันมีเขาหน้าตาเหมือนปะการังคู่หนึ่ง มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก

อสูรตัวนี้ก็คืออสูรเพลิงมายา ปลายเขาบนหัวของมันสีดำขลับ นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่าอสูรตัวนี้โตเต็มวัยและเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว

อสูรเพลิงมายาน้อยครั้งนักจะออกจากธารลาวา หากวันนี้เงาดำร่างนั้นไม่ได้ฉวยโอกาสที่มันหลับสนิท ลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบป่วนรังของมันจนวุ่นวาย มันก็คงไม่โกรธเกรี้ยวจนไล่ตามออกมาเช่นนี้

ทว่าเมื่อไล่ตามมาถึงที่นี่แล้ว อสูรตัวนี้ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของอันตรายโดยสัญชาตญาณ

ผลปรากฏว่าพริบตานั้นที่อสูรตัวนี้ชะงัก เงาดำเบื้องหน้าฉับพลันมีแสงเรียวเล็กสีแดงหม่นเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ส่งเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ”

ความเร็วของแสงสีแดงเร็วจนน่าตกตะลึง แล่นผ่านทีเดียวก็มาถึงหน้าร่างอสูรเพลิงมายา

เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง

แม้อสูรเพลิงมายาจะตอบสนองโดยเบี่ยงหัวหลบรวดเร็วอย่างที่สุด มันก็ยังคงมีเลือดสายหนึ่งพุ่งปรี๊ดออกมา แสงสีแดงเรียวเล็กมีพลังมากมายจนน่าตะลึง มันแทงทะลุด้านข้างลำคอของอสูรเพลิงมายาจนเกิดเป็นแผลเรียวยาวเส้นหนึ่ง

“โฮก!”

อสูรเพลิงมายาแหงนหน้าคำรามอย่างโกรธจัดด้วยความเจ็บปวด มันอ้าปากพ่นลูกบอลเพลิงสีแดงฉานลูกหนึ่งเข้าใส่เงาดำเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันนั้นบนลำคอของมันก็ทอแสงสีแดงสายแล้วสายเล่า บาดแผลปิดสนิทลงอย่างเร็วไว

ลูกบอลเพลิงตอนเพิ่งถูกพ่นออกมามีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ทว่าหลังพุ่งออกมาสิบจั้ง มันก็ส่งเสียงดัง “บึ๊ม” ครั้งหนึ่งแล้วกลายเป็นขนาดมหึมาใหญ่หนึ่งจั้งกว่า จากนั้นระเบิดออกในพริบตากลายเป็นพายุหมุนอัคคีลูกมหึมาซัดเข้าใส่เงาดำเบื้องหน้าอย่างมาดร้าย

พายุหมุนอัคคีสีเหลืองทองเรืองรองผ่านไปที่ใด อากาศล้วนถูกแผดเผาเกิดเป็นลายคลื่นวงแล้ววงเล่าเห็นเด่นชัด จากนั้นซัดเข้าใส่เงาดำอย่างหนักหน่วง

เงาดำร่วงลงไปในหุบเขาเบื้องล่างประหนึ่งหินอุกกาบาตก้อนหนึ่ง เกิดเสียงกระแทกหนักหน่วงดังก้องออกมา

อสูรเพลิงมายาเห็นเช่นนี้ก็เริงร่า มันทิ้งความกังวลสายสุดท้ายในสมองทิ้งไป จากนั้นกรีดร้องอย่างตื่นเต้น กีบเท้าทั้งสี่ขยับ ฉับพลันกลายเป็นลำแสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งไล่ตามเข้าไปในหุบเขา หมายจะฉีกเจ้าตัวที่ใจกล้าทำลายรังของมันจนเสียหายแล้วยังทำร้ายมันบาดเจ็บตัวนี้ให้กลายเป็นชิ้นๆ

พริบตาที่อสูรเพลิงมายาเพิ่งเหยียบเข้ามาในหุบเขา เหตุพลิกผันก็พลันบังเกิดขึ้น

ใต้ดินฉับพลันมีเสาแสงสีทองสี่ต้นพุ่งออกมา ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองค่ายกลหนึ่งล้อมปากทางเข้าหุบเขาทั้งหมดไว้ในทันที

อสูรเพลิงมายาตาลาย ภาพรอบด้านเปลี่ยนไปในฉับพลัน รอบด้านยังมีหุบเขาอยู่ที่ไหน สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นมิติปิดตายสีทองเรืองรองแห่งหนึ่ง แรงกดดันมหาศาลสายแล้วสายเล่าบีบเข้ามาตรงกลาง

ส่วนในหลุมลึกใจกลางหุบเขามีเงาสีดำร่างหนึ่งกำลังเหาะขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ปราณดำรอบร่างค่อยๆ สลายออกเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนด้านใน

หลิ่วหมิงนั่นเอง

เวลานี้เสื้อผ้าบนร่างเขามีรอยไหม้อย่างเห็นได้ชัด ซ้ายซีกหนึ่ง ขวาซีกหนึ่งห้อยติดอยู่บนร่าง แต่ลมหายใจของเขานิ่งสงบ เห็นชัดว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจริง ตรงกันข้ามเขากลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ให้อสูรเพลิงมายาที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลโปรดสัตว์

“ปีศาจอสูรก็คือปีศาจอสูร ถึงแม้จะเกิดสติปัญญาแล้ว แต่เทียบกับผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์พวกนั้นก็ยังจัดการง่ายกว่า” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นในมือพลันส่องแสงสีทอง เขาพลิกมือเรียกธงคำสั่งผืนหนึ่งออกมา

ในเวลาเดียวกันนั้นเงาของสตรีสาวผู้สวมชุดตาข่ายสีดำก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินใกล้ๆ ในมือนางถือธงคำสั่งสีทองผืนหนึ่งไว้เช่นกัน

ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองส่ายไหวพลางส่งเสียงดังครืนคราง แสงสีทองที่ค่ายกลฉายออกมาสั่นไหวอย่างรุนแรง เห็นชัดว่าอสูรเพลิงมายาที่ถูกขังอยู่ด้านในกำลังสู้อย่างสัตว์ที่จนตรอก

มหาค่ายกลโปรดสัตว์เวลานี้แสดงความร้ายกาจของมหาค่ายกลสายพุทธแห่งยุคโบราณออกมา แสงสีทองทอประกายวิบวับแต่ยังคงมั่นคงดั่งขุนเขา ไม่มีวี่แววว่าจะถูกทำลายแม้แต่น้อย

“ลงมือ” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งร่วงลงบนธงคำสั่ง พร้อมกันนั้นก็เอ่ยสั่ง

“เจ้าค่ะ นายท่าน!”

เซียเอ๋อร์ขานรับอย่างเร็วไว บนใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา หลังจากแขนขยับครั้งหนึ่ง พลังเวททั้งร่างก็กรอกเข้าไปในธงคำสั่งช้าๆ

หลิ่วหมิงที่อยู่ในลำแสงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันคำหนึ่ง ร่างกายฉายแสงสีน้ำตาลทองออกมา หลังจากแสงกะพริบวูบหนึ่งก็พลันกลายเป็นโล่สีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งซึ่งด้านบนมียันต์ยึกยือแถวแล้วแถวเล่าอยู่

มันคือโล่พสุธานั่นเอง

เสียง “ฟู่” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

เพลิงศพมืดร่วงลงบนโล่ ทันใดนั้นเสียงเผาไหม้ก็ดังขึ้น แสงสีน้ำตาลทองบนผิวโล่ไหลเคลื่อน ต้านการจู่โจมของเพลิงศพมืดไว้ได้อย่างหวุดหวิด

พลังของแร้งปีกศพเหล่านี้เกือบทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น เมื่อสิบกว่าตัวร่วมแรงกัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้พบเข้าก็เกรงว่าคงต้องหนีไปให้ไกลโพ้น

ทันใดนั้นแสงสีเหลืองบนโล่สีน้ำตาลทองก็ขยายออกไปด้านนอก ดีดเพลิงศพมืดใกล้ๆ กระเด็นออกไป

หลิ่วหมิงหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ข้อมือสะบัดทีหนึ่ง แขนทั้งสองข้างก็พร่าเลือนไปวูบหนึ่งพร้อมกัน เงาหมัดสีดำมากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วต่อยเข้าใส่แร้งปีกศพอย่างดุดันพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ

ปัง ปัง!

แร้งปีกศพหลายตัวที่บินอยู่ด้านหน้าสุดถูกเงาหมัดสีดำโจมตีอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องครวญครางดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดูกแตกเป็นชิ้นๆ ร่างกายมหึมาประหนึ่งว่าวสายขาด ทยอยร่วงตกลงมาจากกลางท้องฟ้า

ร่างกายของแร้งปีกศพโดยพื้นฐานประกอบมาจากโครงกระดูก ร่างกายจึงเบาหวิว ความเร็วที่โบยบินจึงว่องไวอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันเพราะเหตุนี้ร่างกายจึงบอบบางอย่างยิ่งด้วย

แร้งปีกศพที่เหลือส่งเสียงร้องประหลาดดัง แต่ไม่หวาดกลัวเพราะพรรคพวกร่วงตกลงไปแม้แต่น้อย พวกมันยังคงโถมเข้าใส่หลิ่วหมิงตามกันมา กรงเล็บคมกริบที่มีปราณสีดำวนล้อมขยุ้มลงมาอย่างแรง

ปราณดำบนร่างหลิ่วหมิงพวยพุ่ง ร่างกายไม่ถอยแต่กลับรุกคืบเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นเงาเลือนรางสีดำสายหนึ่งทะลวงเข้าไปกลางฝูงแร้งปีกศพ

เสียงกระดูกแตกร้าวดังขึ้นดุจเสียงยามผัดถั่ว แร้งปีกศพตัวหนึ่งแล้วก็อีกตัวหนึ่งสองปีกอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงหล่นร่วงไปจากท้องนภา

ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ แร้งปีกศพสิบกว่าตัวก็ร่วงลงไปอยู่บนพื้นเกินกว่าครึ่ง ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองสามตัวบินหนีไปยังเขตลึกของเทือกเขาศพมืดอย่างหวาดผวา

“ฟู่…”

หลิ่วหมิงไม่ได้ไล่ตามไป หลังจากเขาเป่าลมหายใจออกยาวๆ ครั้งหนึ่งก็พลิกมือ ดอกไม้สีขาวดุจกระดูกห้าดอกปรากฏอยู่ในมือเขา บนเกสรสีดำมีเส้นสีแดงหลายเส้นอยู่ แลดูประหนึ่งใบหน้ายิ้มที่แปลกพิกล

เขาตรวจสอบดอกไม้ประหลาดในมืออย่างละเอียด เมื่อเห็นว่ามันไม่เสียหายจึงเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง

จากนั้นเรือเหาะสีขาวลำหนึ่งก็ยกร่างเขาลอยขึ้นแล้วแหวกท้องฟ้ามุ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา