ทะเลทรายอันเวิ้งว้างทอดมองไปแทบจะไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง บนพื้นเต็มไปด้วยเม็ดทรายกับศิลายักษ์สีเทาเข้มรูปร่างประหลาดจำนวนหนึ่ง สายลมแรงพัดผ่านทุกแห่งหนเป็นระยะ ส่งเสียงครวญครางเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลออกมา
บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาประหลาดลอยล่องอยู่ มองจากไกลๆ แทบจะเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกับทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบๆ ทำให้คนเกิดความรู้สึกลวงว่าฟ้าดินผสานกลืนเป็นหนึ่งยังไม่แยกออกจากกัน
ที่แห่งนี้ก็คือแดนต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์
ใจกลางทะเลทราย ผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยาการณ์ของนิกายสายในสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่อย่างนิ่งสงบและมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด โดยมีเทียนเกอเจินเหรินผู้เป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ด้านหน้า
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังแท่นบูชาสูงใหญ่สีเทาเข้มแท่นหนึ่งเบื้องหน้า บนแท่นบูชามีทั้งหมดเจ็ดชั้น ทั้งสี่ด้านล้วนมีบันไดศิลาอันหนึ่งตรงไปบนยอด
รอบด้านแท่นบูชามีเสาศิลามหึมาแปดต้นซึ่งแทบจะต้องใช้สองคนถึงจะโอบได้รอบตั้งอยู่แปดทิศ พวกมันสีเหมือนแท่นบูชาทุกประการ แต่บนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณที่ทอแสงสีขาวระยิบระยับแผ่อยู่ทั่ว
บนยอดของแท่นบูชาเวลานี้มีเสาแสงสีขาวน้ำนมขนาดยักษ์เส้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จมลงไปในชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาด้านบน
เสาแสงหนาถึงสองสามจั้งกว่าประหนึ่งเสายักษ์ที่คอยค้ำท้องฟ้า เชื่อมต่อผืนดินกับผืนนภาเข้าด้วยกัน
ทันใดนั้นด้านในชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาก็มีเสียงครืนครางดังขึ้น หลังจากนั้นหมู่เมฆก็พลันปั่นป่วนรุนแรง จุดที่เสาแสงสัมผัสเกิดพายุหมุนสีเทาขนาดมหึมากว้างใหญ่ลูกหนึ่ง ลึกเข้าไปในพายุหมุนมีแถบสีดำมืดแถบหนึ่งซึ่งดูเหมือนรอยแยกมิติปรากฏขึ้นเลือนราง อสนีบาตรูปอสรพิษสายแล้วสายเล่าพุ่งทะลุผ่านพายุหมุนออกมาแล้วระเบิดแสงอสนีบาตสีม่วงแสบตาเป็นระยะ
ทุกครั้งที่สายฟ้าระเบิดดังกึกก้อง พลังที่แฝงอยู่ด้านในจะทำให้ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายเบื้องล่างเปลี่ยนสีหน้าอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านประมุข ในเมื่อแสงสวรรค์สลายเขตแดนปรากฏขึ้นก่อนเวลา ดูท่าเรื่องนั้นคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” บุรุษชุดเทาคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า เดินมาถึงข้างกายเทียนเกอเจินเหรินแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา
เขาก็คือผู้อาวุโสหานที่ใช้วิชาลับแห่งศาสตร์กระบี่แลกกับทรายธารดาราครึ่งถุงของหลิ่วหมิงนั่นเอง
“อืม งานประตูสวรรค์ครั้งก่อน คนของหอเป๋ยโต่วกับวังสวรรค์ก็เผยเบาะแสออกมาอยู่บ้างแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้” เทียนเกอเจินเหรินจับจ้องแสงอสนีบาตสีม่วงเส้นแล้วเส้นเล่ากลางท้องฟ้าอย่างไม่ละสายตา ดวงตาทั้งสองข้างสะท้อนแสงสีม่วงที่ไหลเคลื่อนเผยแววตากระตือรือร้นออกมาอยู่เลือนราง
“กระจายข่าวนี้ให้ผู้ควบคุมยอดเขาแต่ละคนทราบ ให้พวกเขาเตรียมเสนอชื่อคนไว้ให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้น…” เทียนเกอเจินเหรินฟื้นกลับมาสีหน้านิ่งสงบอย่างรวดเร็วยิ่ง ขณะที่ปากเขาก็ออกคำสั่งเรื่องแล้วเรื่องเล่า ผู้อาวุโสสูงสุดสิบกว่าคนรอบด้านฟังแล้วก็พากันกลายเป็นลำแสงหายไปจากที่เดิม ต่างคนต่างเคลื่อนไหว
……
บนเทือกเขาเปลี่ยนฟ้าที่สำนักเฮ่าหรานตั้งอยู่ ลึกเข้าไปในหุบเขามหึมาซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีขาวโพลนตลอดทั้งปีที่น้อยครั้งจะมีคนมาถึงแห่งหนึ่ง
เสียงอสนีบาตคำรามดังลั่น!
เสาแสงสีเขียวต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเชื่อมผืนฟ้ากับผืนดินเข้าด้วยกัน ด้านบนจมหายเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเทาหนาทึบ ท้องนภาปั่นป่วนไม่หยุด แสงอสนีบาตฉายวูบวาบอยู่เลือนราง
เสาแสงสีเขียวเกิดมาจากใจกลางค่ายกลยักษ์ที่กินพื้นที่สิบกว่าจั้งอันหนึ่งข้างใต้
เบื้องหน้าค่ายกลคนที่สวมชุดบัณฑิตหน้าตาเหมือนผู้คงแก่เรียนสิบกว่าคนยืนอยู่ มีหนุ่มสาว มีวัยกลางคนไปจนถึงผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลน
ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพผู้สวมชุดบัณฑิตสีขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดในกลุ่มสังเกตค่ายกลยักษ์อยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เร็วกว่าที่คาดไว้ไม่น้อย ดูท่าพวกเราก็คงต้องรีบสักหน่อยแล้ว”
……
สุดฝั่งตะวันตกของแผ่นดินจงเทียน ณ เทือกเขาสูงตระหง่านทอดยาวพันลี้สีดำสนิททั้งเทือกเขาแห่งหนึ่ง
บนปรัมพิธีเหนือยอดเขาขนาดยักษ์ที่ถูกปราณดำพลุ่งพล่านห้อมล้อมไว้แห่งหนึ่ง สายลมเย็นเยียบพัดมาเป็นระลอก ทรายสีเทาม้วนตลบ
เวลานี้เสาแสงสีดำมหึมาต้นหนึ่งพุ่งจากปรัมพิธีขึ้นไปยังท้องฟ้า ตรงเข้าไปในชั้นเมฆ
“ดี! ดียิ่ง! ในที่สุดข้าก็มีชีวิตอยู่รอจนมาถึงวันนี้แล้ว!” บนปรัมพิธี เงาร่างสูงใหญ่ที่ทั้งร่างถูกปราณสีดำวนล้อมจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดแม้แต่น้อยร่างหนึ่งหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยขึ้นมา
หลังร่างเขา มีเงาร่างที่ปราณดำวนเวียนรอบร่างอีกหลายร่างยืนอยู่เช่นเดียวกัน
“ใช่แล้ว อู๋กวัง หลงเซวียนเตรียมพร้อมแล้วไหม?” ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของเขาก็เงียบไปแล้วหันไปถามคนด้านข้าง
“ท่านประมุขโปรดวางใจ หลังจากเก็บตัวช่วงเวลานี้ วิชาวิญญาณมารชิงหยางของหลงเซวียนก็แข็งแกร่งแล้ว ครั้งนี้จะต้องแสดงฝีมือได้อย่างเยี่ยมยอดแน่นอน!” ปราณดำบนใบหน้าของคนผู้นั้นไหลเคลื่อน พร้อมกับที่เสียงชราเสียงหนึ่งเอ่ยออกมาเช่นนี้
……
ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่ต้องห้ามของกลุ่มอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินจงเทียนเช่น นิกายเทียนกง หุบเขาปีศาจสวรรค์และหอเป๋ยโต่วเป็นต้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดปรากฏการณ์ประหลาด สถานการณ์คล้ายคลึงกับนิกายยอดบริสุทธิ์
เมื่อผู้นำของกลุ่มอำนาจใหญ่เห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาต่างวางเรื่องอื่นที่อยู่ในมือทันที
หลังจากนั้นแต่ละนิกายก็ส่งคำสั่งลงไป นิกายใหญ่เหล่านี้ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนเคลื่อนไหว
ไม่นานกลุ่มอำนาจขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนหนึ่งของแผ่นดินจงเทียนก็สังเกตเห็นสภาพประหลาดนี้ โลกแห่งการฝึกฝนของทั้งแผ่นดินจงเทียนอบอวลไปด้วยบรรยากาศตื่นเต้น
…..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา