แสงสว่างของค่ายกลสีทองเบื้องล่างกระจายออกไป ครู่ต่อมาร่างกายของหลิ่วหมิงก็หายวับร่อนลงข้างศพของหนูยักษ์สีทอง
ครู่หนึ่งให้หลังบนมือเขาก็ถือแก่นปีศาจสีน้ำตาลทองขนาดเท่าไข่ไก่เม็ดหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี
มีแก่นปีศาจของหนูยักษ์ธาตุดินอันล้ำค่าเม็ดนี้ก็แลกแต้มคุณูปการของนิกายได้จำนวนมาก หนึ่งล้านห้าแสนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ในการเข้าสู่ทางปีศาจร้าย จนวันนี้นับว่ารวบรวมได้ครบแล้ว
“ยินดีกับนายท่านด้วย!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เหาะเข้ามา
“วันนี้พวกเจ้าสองตัวควบคุมค่ายกลนี้ได้ไม่เลว ภายหน้าเข้าไปในทางปีศาจร้าย คงจะช่วยข้าได้อีกแรงหนึ่ง!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ ชมเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์สองสามประโยค
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ได้ฟังย่อมยินดียิ่งนัก
ผลปรากฏว่าขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะพูดอะไรอีกสักหน่อย ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารที่ส่องแสงสีขาวเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมา
“หลิ่วหมิง ไม่ว่าเวลานี้เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่กลับมานิกายเดี๋ยวนี้ อย่าได้ชักช้า!” เสียงของอินจิ่วหลิงฉับพลันดังออกมาจากในแผ่นค่ายกล
หลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เสียงของอินจิ่วหลิงฟังดูจริงจังอย่างยิ่ง ดูท่านิกายจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่าง
เขาครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่กล้าชักช้า เขาเก็บอุปกรณ์วางมหาค่ายกลโปรดสัตว์รวมถึงแก่นปีศาจของหนูยักษ์ไปในทันใด
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็หมุนตัวอยู่กับที่กลายเป็นแสงสีดำสองสายมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่พูดพร่ำเรียกเรือหยกจันทราออกมา แสงสีขาวสายหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นมุ่งหน้าไปไกลอย่างเร็วรี่
สิ่งที่หลิ่วหมิงไม่รู้ก็คือ ภาพคล้ายคลึงกันนี้กำลังเกิดขึ้นไม่หยุดทั่วทั้งแผ่นดินจงเทียน
ในชั่วเวลาหนึ่งนิกายใหญ่ต่างๆ ล้วนออกคำสั่งลับเรียกรวมตัวศิษย์แกนนำระดับผลึกไปจนถึงระดับแก่นแท้ที่ฝึกวิชาอยู่ข้างนอกให้ทยอยเดินทางกลับไปยังนิกายของแต่ละคน
หลิ่วหมิงกลับมาถึงนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งเดือนให้หลัง
เขาเร่งเดินทางไปชั้นสองของหอลี้ลับส่งมอบภารกิจล่าราชาหนูมุดดินขนทองด้วยท่าทางเร่งรีบ จากนั้นจึงขี่เมฆมาถึงหน้าวิหารหลักบนยอดเขาลั่วโยวโดยไม่หยุดแวะพัก
“อ้อ! คารวะศิษย์พี่หลิ่ว!” หลังศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคนหนึ่งที่เฝ้าประตูเห็นหลิ่วหมิงก็รีบคำนับด้วยสีหน้านอบน้อม
เขากำลังจะให้ศิษย์ที่เฝ้าประตูเข้าไปแจ้ง ในวิหารหลักก็มีเสียงอินจิ่วหลิงดังออกมา
“หลิ่วหมิงใช่ไหม รีบเข้ามาเถอะ ไม่ต้องแจ้งแล้ว”
ในวิหารหลัก อินจิ่วหลิงที่สวมชุดสีดำกำลังนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ประธาน ด้านข้างมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่อีกคน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแซ่เถียนที่หลิ่วหมิงเคยพบหน้าหลายครั้ง
ทั้งสองคนเหมือนจะหารือเรื่องอะไรกันมานานแล้วก่อนหน้านี้
“ศิษย์คารวะอาจารย์ คารวะอาจารย์เถียน” หลิ่วหมิงสงสัย แต่ก็คำนับเอ่ยทักทั้งสองคนอย่างนอบน้อม
“อืม เจ้าก็นั่งลงเถอะ” อินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิงศิษย์ผู้น่าภาคภูมิใจคนนี้เดินเข้ามา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ พลางกวักมือเรียกเขา
“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง” หลิ่วหมิงนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโดยไม่ปฏิเสธ
“ข้าได้ยินว่าระยะนี้เจ้าวุ่นวายอยู่กับการรับภารกิจของนิกายจากหอความเป็นความตายกับหอลี้ลับเพื่อสะสมแต้มคุณูปการเข้าทางปีศาจร้ายหรือ?” อินจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นเหมือนสนทนาสัพเพเหระ
“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง” หลิ่วหมิงบอกตามจริง
“แม้เรื่องนี้สำคัญ แต่ก็ต้องระวังความปลอดภัยของตัวเจ้าเองด้วย” อินจิ่วหลิงเอ่ยกำชับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา