เวลานี้ผู้ที่ยังยืนอยู่ด้านนอกเหลือเพียงหลิ่วหมิง จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อสามคน
“ศิษย์พี่จิน คิดว่าชักช้าอยู่ที่นี่ไม่เป็นอะไรจริงหรือ?” หลิ่วหมิงไม่ตอบคำถาม กลับย้อนถาม
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าเพราะการสำรวจเศษซากของโลกบนเพิ่งเริ่มต้น แต่ละคนต่างมีความคิดของตนเอง หากฝืนดึงดันให้พวกเขาจากไป ในใจคงไม่พอใจอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ตามใจพวกเขาชั่วคราวเถิด” สีหน้าเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจินเทียนชื่อ แต่เขากลับเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ
หลิ่วหมิงพยักหน้าและไม่พูดมากอีก
ตอนนี้เองจินเทียนชื่อก็ขยับร่างวูบหนึ่งเหาะมาถึงกลางท้องฟ้า สะบัดมือครั้งเดียวเรียกแผ่นค่ายกลสีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งกับธงค่ายกลกองหนึ่งออกมา
เขาขยับแขนหนึ่งครั้ง ธงค่ายกลสิบกว่าผืนก็ลอยวนไปด้านนอกแล้วหมุนรอบร่างเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย พร้อมกันนั้นเขาก็ท่องเคล็ดวิชา สองมือสะบัดไปมาอยู่หลายครั้ง
ธงค่ายกลทั้งหลายเรืองแสงสีน้ำตาลทองขึ้นมาในทันใด จากนั้นพุ่งไปสี่ด้านแปดทิศพร้อมกับเสียงแหวกอากาศดังฟึบ
ฟู่!
หลังจากธงค่ายกลสั่นไหวเล็กน้อยก็ทยอยพุ่งปักลงบนพื้นด้านนอกค่ายกลรวมจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว แสงสีเหลืองส่องสว่างออกมาก่อนจะเชื่อมต่อกันเป็นผืน ก่อตัวเป็นรูปวงรีล้อมค่ายกลรวมจิตวิญญาณทั้งหมดไว้ตรงกลาง หลังจากนั้นจึงกะพริบวูบหนึ่งแล้วเลือนหายไปกับอากาศ
รอบหุบเขาเริ่มมีหมอกสีน้ำตาลทองชั้นหนึ่งก่อตัวขึ้น
จินเทียนชื่อท่องมนตร์ ทันใดนั้นแผ่นค่ายกลในมือฉับพลันมีลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว มันส่องสว่างวูบหนึ่งก็จมหายไปในแสงสีเหลือง
ครู่ต่อมาหมอกสีเหลืองขมุกขมัวแถบหนึ่งก็ลอยออกมาปกป้องทั้งหุบเขาไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลพสุธา!” ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
“โอ๊ะ? ศิษย์น้องหลิ่วชำนาญค่ายกลด้วยหรือ?” ฉิวหลงจื่อเดินมาถึงข้างกายหลิ่วหมิงพลางเผยสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่กล้าพูดว่าชำนาญ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เคยอ่านตำราค่ายกลมาบ้างจึงจดจำค่ายกลบางประเภทในนั้นได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
ฉิวหลงจื่อพยักหน้าแล้วไม่ได้จี้ถามต่อ หลังจากเขาสนทนากับหลิ่วหมิงเล็กน้อยจบ เขากลับไม่ได้เข้าไปในค่ายกลรวมจิตวิญญาณ แต่ขยับร่างเหาะมานั่งขัดสมาธิบนที่สูงของหุบเขา พร้อมกันนั้นก็แผ่จิตสัมผัสออกไป เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวรอบด้าน
จินเทียนชื่อยังคงยุ่งอยู่รอบหุบเขา เขาเรียกแผ่นค่ายกลและธงค่ายกลชุดแล้วชุดเล่าออกมา จากนั้นวางชั้นจำกัดป้องกันหลายชั้นไว้ในค่ายกลพสุธา
หลิ่วหมิงเห็นผู้นำคณะเดินทางทั้งสองทำงานของแต่ละคนอยู่เงียบๆ สุดท้ายก็เดินเข้าไปในค่ายกลรวมจิตวิญญาณนั่งขัดสมาธิลงบ้าง
เขาไม่ได้จมดิ่งเข้าสู่สภาวะฝึกฝนโดยสมบูรณ์เฉกเช่นคนอื่น ปราณจิตวิญญาณของที่แห่งนี้เข้มข้นอีกเท่าใด ภายในเวลาสั้นๆ สามวันก็ไม่มีประโยชน์กับพลังระดับแก่นเสมือนยามนี้ของเขามากนัก
เทียบกับค่ายกลรวมจิตวิญญาณค่ายกลนี้ข้างใต้ เขาถูกใจศิลารวมจิตวิญญาณเหล่านี้มากกว่า หากได้มาสักหน่อย จำนวนไม่ต้องมากนัก เพียงสักร้อยก้อนก็กลับไปวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กค่ายกลหนึ่งเองในถ้ำที่พักได้แล้ว
แน่นอนอิทธิฤทธิ์คงไม่อาจเทียบค่ายกลนี้ที่อยู่ใต้เท้าได้ แต่ต้องมีประโยชน์ต่อการทะลวงคอขวดระดับแก่นแท้ในภายภาคหน้าแน่นอน
ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดเช่นนี้แล้วค่อยๆ โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เริ่มดูดซับปราณจิตวิญญาณเข้มข้นรอบด้าน ทว่าเขาก็ยังแบ่งจิตสัมผัสส่วนหนึ่งเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา
ท้องฟ้ามืดลงอย่างเชื่องช้า ภายในเศษซากของโลกบนก็เหมือนกับโลกภายนอก มีกลางคืนกลางวันดวงดาราผันเปลี่ยนตามครรลอง
เมื่อม่านราตรีทิ้งตัวลงมา สรรพสิ่งรอบด้านก็มืดสลัวเห็นไม่ชัด ทอดสายตามองไป นอกจากเทือกเขายาวที่แทบจะเชื่อมสนิทกับผืนนภาอยู่ไกลๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดชัดเจน
ภายในหุบเขาเงียบสนิทไปหมด ในหุบเขามีเพียงวังวนปราณจิตวิญญาณที่ยังคงหมุนวนกลางท้องฟ้า ดูดซับปราณจิตวิญญาณจากทั่วทุกสารทิศด้วยตนเองไม่หยุดหย่อนดังเช่นวันเวลาที่เคยผ่านมาในอดีต
ด้านในค่ายกลรวมจิตวิญญาณใต้วังวนปราณจิตวิญญาณ ศิษย์กายยอดบริสุทธิ์ส่วนใหญ่เข้าสู่สมาธินั่งนิ่งไม่ขยับ พวกเขากำลังดูดซับปราณจิตวิญญาณเข้มข้นที่อบอวลอยู่ในอากาศอย่างละโมบ
เวลานี้หลิ่วหมิงถือคัมภีร์หยกที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวเล่มหนึ่งอยู่ในมือ เขาแผ่จิตสัมผัสเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับว่ากำลังทำความเข้าใจบางสิ่ง
บนหน้าผาแห่งหนึ่งนอกหุบเขา จินเทียนชื่อผู้สวมชุดสีทองตัวโคร่งกำลังนั่งขัดสมาธิสองมือประสานท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่งอยู่หน้าร่าง พร้อมกับที่สูดลมหายใจดูดซับปราณจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้นระหว่างผืนฟ้าและผืนดินอย่างเป็นจังหวะ
ไม่นานนัก หนังตาของจินเทียนชื่อก็กระตุก ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง เอี้ยวศีรษะมองไกลออกไปทางหนึ่ง
ห่างออกไปหลายสิบลี้ตามแนวสายตาของเขา เมฆหมอกสีดำซึ่งแทบจะกลืนไปกับท้องนภายามราตรีผืนใหญ่ฉับพลันก็ปรากฏขึ้น ในกลุ่มเมฆมองเห็นแสงสีแดงประหลาดจุดแล้วจุดเล่าอยู่เลือนราง กำลังมุ่งมาทางหุบเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงดังอื้ออึง
ในดวงตาจินเทียนชื่อมีแสงดาราชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด เขาโบกมือส่งแสงสีทองสายหนึ่งลงไปที่ใจกลางหุบเขาจนเกิดเสียงดังสนั่นในทันที
“มีปีศาจอสูรจู่โจม!”
เสียงดังกึกก้องประหนึ่งอัสนีบาตคำรนสะท้อนก้องไปมาอย่างเร็วไวในหุบเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา