บุรุษชุดเทาคนหนึ่งยกมือขึ้นในทันใด เขาดีดนิ้วเบาๆ สายลมสีดำที่หมุนเป็นเกลียวลูกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วซัดมายังต้นไม้ใหญ่ที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง
พริบตานั้นที่ต้นไม้ใหญ่แห้งเหี่ยวสัมผัสถูกสายลมสีดำรูปเกลียว มันก็ถูกระเบิดกระจายกลายเป็นเศษไม้เต็มท้องฟ้า
เงาดำร่างหนึ่งถอยพรวดออกมาจากเศษไม้เต็มฟ้า หลิ่วหมิงนั่นเอง!
หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่ง ในมือมีโล่สีเหลืองแผ่นหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด พร้อมกันนั้นในใจก็ขบคิดรวดเร็ววิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันตรงหน้า
มนุษย์ปีศาจกลุ่มนี้เห็นชัดว่ามุ่งมาหาเขา หากอาศัยลูกเล่นของเขาจัดการแค่คนสองคนหรือสักสามสี่คน เขาก็ยังพอมีความมั่นใจอยู่ แต่หากต้องรับมือกับมนุษย์ปีศาจแข็งแกร่งเจ็ดคนในคราวเดียวคงลำบากมากจริงๆ
ขณะที่หลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่ในใจนี่เอง ทันใดนั้นบุรุษชุดเทาที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พลันเอ่ยปากขึ้นมา
“เจ้าสังหารคนของเผ่าข้าคนหนึ่งด้วยพลังของตนเองเพียงลำพัง คิดว่าเจ้าก็คงไม่ใช่คนธรรมดา! แต่ไม่เป็นไร พวกเราทั้งหลายไม่ได้มาตามหาเจ้าเพื่อแก้แค้น แต่เพราะหวังว่าเจ้าจะร่วมมือกับพวกเราเอาของบางสิ่งออกมาจากซากโบราณสถานแห่งหนึ่งใกล้ๆ นี้ หลังเสร็จธุระย่อมมีผลประโยชน์มอบให้เจ้า”
คำพูดของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ทำให้หลิ่วหมิงที่เดิมทีกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าควรจะรับมืออย่างไรอดไม่ได้อึ้งไปเล็กน้อย
ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้นก็เห็นชัดว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับมนุษย์ปีศาจที่เขาสังหารไปก่อนหน้านี้
คิดดูแล้วก็คงใช่ แผ่นดินว่านหมัวพื้นที่กว้างใหญ่ไม่เป็นรองแผ่นดินจงเทียน กลุ่มอำนาจของมนุษย์ปีศาจที่เข้ามายังเศษซากของโลกบนคงจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียวแน่
“ร่วมมือหรือ? มนุษย์กับมารอยู่กันคนละฝั่ง ท่านกำลังพูดเล่นอยู่หรือ?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไยจะร่วมมือกันไม่ได้เล่า? ฮึๆ ในเศษซากโลกบนแห่งนี้ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ การร่วมมือกันระหว่างเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้ากับเผ่าของเราก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งนี้พวกเรามาตามหาเจ้าก็เพราะค้นพบว่าสหายชำนาญวิชาลับภาพสัญลักษณ์ซึ่งสามารถช่วยพวกเราทำลายชั้นจำกัดของซากโบราณสถานแห่งนั้นได้ง่าย แน่นอนหากไม่ตอบรับก็ได้ แต่ถึงเวลานั้นพวกเราก็คิดเหตุผลที่จะปล่อยสหายไปไม่ออก” บุรุษชุดเทาผู้นั้นเอ่ยอย่างนิ่งสงบ แต่อีกหกคนที่เหลือข้างกายเขาล้วนมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ท่าทางประหนึ่งไม่ยินยอมให้เขาปฏิเสธ
หลิ่วหมิงได้ฟัง ในใจก็พรั่นพรึง
ด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่มีทางเชื่อวาจาของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ง่ายๆ ทว่าในสถานการณ์ที่ศัตรูแข็งแกร่งตนเองอ่อนแอและถูกมนุษย์ปีศาจทั้งหลายจับจ้องมาดร้ายอยู่เช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างให้เขาปฏิเสธ
“ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดครึ่งแรกเป็นเรื่องจริง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหลังเสร็จงานพวกเจ้าจะกลับคำหรือไม่! หากเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หลิ่วยินดีลงมือสู้กันตอนนี้ดีกว่าช่วยให้พวกเจ้าได้สมบัติล้ำค่าไป” หลิ่วหมิงยังคงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าเผ่ามนุษย์หวาดระแวงเสมอ ไม่ผิดจริงๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะให้สัตย์สาบานต่อนามของจอมมารตรงนี้ ไม่ตระบัดสัตย์เด็ดขาด” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าขมวดคิ้วครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้ออกมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“นามของจอมมาร”
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมากในทันที
จากที่เขารู้มาในคัมภีร์ ‘จอมมาร’ ที่ว่านี้ย่อมหมายถึงราชาแห่งเผ่ามารที่รุกรานโลกมนุษย์ในยุคโบราณ กล่าวกันว่าเขาทรงพลังบุกตะลุยไปหลากหลายโลกจนเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวประหนึ่งเทพมารที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารในยุคโบราณหรือมนุษย์ปีศาจของแผ่นดินว่านหมัวในยามนี้ล้วนมองเขาเป็นที่พึ่งทางจิตใจมาตลอด
ดังนั้นไม่ว่าเผ่ามารหรือมนุษย์ปีศาจเมื่อสาบานต่อนามของจอมมาร ย่อมเป็นคำสาบานที่จริงจังอย่างที่สุด น้อยคนนักจะกล้ากลับคำ
“ได้ หากพวกเจ้าสาบานต่อนามแห่งจอมมารจริง ข้าก็คงไม่เชื่อไม่ได้” หลังจากหลิ่วหมิงขบคิดอย่างรวดเร็วก็กัดฟันเอ่ยขึ้น
“ดีมาก หวังว่าท่านจะจำคำนี้ไว้” คนชุดเทาที่เป็นหัวหน้าหัวเราะร่า แล้วขยับแขนครั้งหนึ่งกรีดข้อมืออีกข้างหนึ่งทันที หลังจากเลือดสีดำแดงไหลรินลงมา เขาก็สาบานหนักแน่นต่อนามแห่งจอมมาร สัญญาว่าหากผิดต่อคำสาบานนี้ ตนเองจะกลายเป็นเครื่องสังเวยแด่จอมมาร
มนุษย์ปีศาจชุดเทาหกคนที่เหลือข้างกายเขาก็สาบานหนักแน่นต่อนามแห่งจอมมารอย่างพร้อมเพรียงเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็อึมครึม ครู่หนึ่งให้หลังถึงอ้าปากเอ่ยอีกว่า
“ในเมื่อข้ารับปากจะเคลื่อนไหวด้วยกันกับพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ก็บอกข้าได้แล้วกระมังว่าในซาก โบราณสถานมีสมบัติอันใดอยู่แล้วจะแบ่งผลประโยชน์ด้านในกันอย่างไร ข้าหวังว่าจะตกลงเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน”
“ได้! สหายตรงไปตรงมาดี! แต่อันที่จริงเรื่องสมบัติในซากโบราณสถานแห่งนี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะบอกเช่นกัน พวกเรารู้เพียงว่าด้านในมีสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่ไม่ทราบว่าแท้จริงเป็นสิ่งใด ส่วนจะแบ่งสรรอย่างไร ในเมื่อพวกเรามีเจ็ดคน เจ้าคนเดียว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เอาไปหนึ่งในแปดส่วน คงไม่นับว่าเอาเปรียบเจ้า” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นเชื่องช้า
“หนึ่งในแปดส่วนน้อยเกินไปสักหน่อย! ข้าต้องการหนึ่งในสามส่วน”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นฝั่งเสนอให้ร่วมมือย่อมบ่งบอกว่าต้องการตนจริงๆ หลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งหลิ่วหมิงจึงต่อรองราคาอย่างใจกล้า
“หนึ่งในสามออกจะมากเกินไปกระมัง! ข้าตัดสินใจ ยอมให้เจ้าหนึ่งในสี่ส่วนเป็นอย่างไร มากกว่านี้ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด” สองตาสีฟ้าครามของบุรุษชุดเทาทอแสงเจิดจ้าวูบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา