มนุษย์ปีศาจสามคนที่อยู่ด้านข้างหน้าถอดสี คิดจะลงมือขัดขวางก็ไม่ทันสักนิด
ในช่วงเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี่เองหลิ่วหมิงกลับหยุดร่างกะทันหัน เขาไม่ถอยแต่กลับรุกไปด้านหน้า เงาวัวสีน้ำเงินบนหัวไหล่ทอแสงสีน้ำเงินแล้วอ้าปากใหญ่โตกู่ร้องใส่ท้องฟ้า สายลมแรงสีน้ำเงินอ่อนสายหนึ่งพุ่งออกมา ซัดครั้งเดียวหุ้มลำแสงสีเลือดที่พุ่งประจันหน้ามา จากนั้นมันก็กลืนเข้าปากไปประหนึ่งเป็นอาหาร
พร้อมกันนี้เสียงมังกรคำรามก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
มังกรหมอกที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บบินทะลวงออกมาจากแขนของหลิ่วหมิงพุ่งตรงไปหาภาพดวงตาสีเลือดบนลวดลายจิตวิญญาณแปดเหลี่ยมบนป้ายหินด้านหน้า
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้น ผิวของป้ายหินทั้งแผ่นก็แตกร้าวโดยมีภาพดวงตาสีแดงเลือดเป็นศูนย์กลาง เศษก้อนหินกระเด็นไปรอบด้านเต็มท้องฟ้า
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในที่นั่งนิ่งสงบอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้ ดวงเนตรงามก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
ลำแสงสีเลือดสี่เส้นกะพริบวูบเดียวก็หายไปในทันใด
จากนั้นเงาวัวสีน้ำเงินพลันกลายเป็นประกายแสงแวววาวจุดแล้วจุดเล่าสลายไป แสงเรืองรองม้วนตัวกลับมาบนหัวไหล่ของหลิ่วหมิงอีกครั้ง
มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าตอนนี้ถึงพรูลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง สายตาทอประกายเล็กน้อยขณะที่มองหลิ่วหมิง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่ายังไม่ทันที่คำพูดของเขาจะได้เอ่ยออกจากปาก ฐานของป้ายหินก็ส่งเสียงดัง “ฟู่” ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินผืนหนึ่งก็แผ่ออกมา ค่ายกลขนาดสองสามจั้งค่ายกลหนึ่งลอยออกมาเลือนราง
“พวกเจ้าช่างดวงแข็ง! ไม่รู้เลยหรือว่า ‘ค่ายกลภาพแปดดวงเนตร’ ค่ายนี้มีดวงตาดวงหนึ่งห้ามกระตุ้น?” เงาคนร่างหนึ่งโฉบมาเบื้องหน้าพวกเขา หญิงสาวผู้สวมชุดนางในผู้นั้นปรากฏกายขึ้นมาประหนึ่งภูตพรายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจเดิม
“อะไรนะ เป็นชั้นจำกัดนี้เองหรือ ข้าก็ว่าแล้วเหตุใดจึงคุ้นตาอยู่บ้าง”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงพร้อมกับพรั่นพรึง!
เวลานี้เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ค่ายกลภาพแปดดวงเนตรนี้เป็นค่ายกลประหลาดแห่งยุคโบราณชนิดหนึ่ง สภาพของค่ายกลนี้จะแตกต่างกันไปแต่หลักการคล้ายคลึงกันโดยส่วนใหญ่ เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของมันก็คือดวงเนตรปีศาจที่สภาพแตกต่างกันแปดดวง
ค่ายกลนี้มีเพียงคนวางถึงจะรู้ว่าดวงเนตรปีศาจดวงใดที่ไม่อาจกระตุ้นได้ หากไม่ได้ทิ้งร่องรอยเงื่อนงำไว้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่อาศัยการคาดเดาเพียงอย่างเดียว
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่านางแก้ค่ายกลนี้ได้แล้วจริงๆ หรือแค่เสแสร้งวางท่า
ในเวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ขยับร่างครั้งหนึ่งก้าวเข้าไปในค่ายกลเบื้องหน้า หลังจากแสงสีน้ำเงินอ่อนโยนสายหนึ่งหุ้มร่างนางไว้ นางก็เลือนหายไปจากที่เดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่รั้งรอต่อ ร่างกายขยับวูบเดียวก้าวเข้าไปในค่ายกลด้วย
หลังจากแสงสีน้ำเงินส่องสว่างวูบหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าฟ้าดินพลิกหมุน เมื่อเห็นสภาพรอบด้านชัดเจนอีกครั้งเขาก็ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักอันงดงามโอ่อ่าหลังหนึ่งแล้ว
ตำหนักหลังนี้กว้างราวสิบกว่าจั้ง สองฟากฝั่งก่อขึ้นมาจากหินอ่อนขาวที่มันวาวประหนึ่งกระจกก้อนแล้วก้อนเล่า เพดานของห้องโถงใหญ่ฝังหินจันทราที่เรียงรายเป็นระเบียบไว้หลายแถว พวกมันกำลังเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา
แสงสะท้อนจากกำแพงหินอ่อนส่องให้ห้องโถงใหญ่ทั้งห้องสว่างไสวยิ่งนัก
สุดปลายห้องโถงใหญ่มีม่านแสงสีเทาชั้นหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ บนม่านแสงคล้ายจะมีเงาภูตผีขนาดมหึมาตัวหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ ดวงตาขนาดเท่าชามข้าวทั้งสองข้างกลอกขึ้นลง เขี้ยวทั้งสองข้างแลดูคมกริบยิ่งนัก ใบหน้าดุร้ายอย่างยิ่ง
บนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าม่านแสงไม่ไกล หญิงสาวผู้สวมชุดนางในสีขาว คล้องอาภรณ์สีแดงกำลังยืนนิ่งอยู่
สตรีนางนี้เหมือนจะได้ยินเสียงยามหลิ่วหมิงเคลื่อนย้ายมา ดวงเนตรของนางจึงกวาดมองมาหาเขา
……
ในเวลาเดียวกัน ด้านในโพรงถ้ำที่ไหล่เขาของภูเขาขนาดเล็กที่ทอแสงสีดำทั้งลูกกลางป่าสีเขียวแน่นขนัดผืนหนึ่ง จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อรวมถึงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ที่นี่
โพรงถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ศิษย์สิบกว่าคนของนิกายยอดบริสุทธิ์กำลังจับกลุ่มสองสามคนกระจายอยู่ด้านใน บางคนนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ บางคนกำลังหายใจเข้าออก
ตรงมุมหนึ่งจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่
“ศิษย์พี่จิน พวกเราหยุดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว ตามหลักแล้วหากทุกสิ่งราบรื่น ศิษย์น้องหลิ่วก็น่าจะหวนกลับมารวมกลุ่มกับพวกเราแล้วถึงจะถูก หากรอเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะพลาดจากเรื่องที่อาจารย์กำชับไว้” ฉิวหลงจื่อเอ่ยกับจินเทียนชื่อด้วยท่าทางจริงจังอยู่บ้าง
“เจ้ากล่าวไม่ผิด หลายวันนี้พวกเราก็ค้นหาสมบัติประหลาดนานาชนิดบริเวณนี้จนเกลี้ยงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะไปจากที่แห่งนี้แล้ว” จินเทียนชื่อหันกลับมากวาดสายตามองศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ
“แต่หากหลิ่วหมิงกลับมารวมตัวที่นี่ ทว่าพวกเราจากไปแล้วนั่นจะทำอย่างไรเล่า” ฉิวหลงจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามอย่างไม่วางใจอยู่บ้างอีก
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จะชักช้าจนเสียแผนการของนิกายเราเพราะคนเพียงคนเดียวคงไม่ได้ แจ้งลงไป คืนนี้พักผ่อนอยู่ที่นี่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป หากศิษย์น้องหลิ่วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง พวกเรารอต่อไปก็เสียเวลาเปล่า หากไม่เกิดเรื่องขึ้นย่อมหมายความว่าเขาช้าเพราะสาเหตุอื่นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรอต่อไปแล้วเช่นกัน” จินเทียนชื่อหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา