แต่ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว!
ในเมื่อวิญญาณราชาปีศาจถูกหลอมสร้างเป็นโซ่ตรวนวิญญาณแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
“ช่างเถอะ! มีโซ่ตรวนวิญญาณที่หลอมสร้างมาจากวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดเส้นนี้แล้ว ไม่แน่เจ้าแน่เด็กคนนี้อาจจะมีหวังที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาได้” ศิษย์พี่หวงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็สบตากันยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พูดถึงเงื่อนไขของวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด ศิษย์พี่หวงผู้เป็นหัวหน้าสาขาฝึกศพย่อมต้องการสิ่งนี้มากกว่าผู้ใด
คนอื่นใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณหรือโอสถ แต่ถ้าหากเขามีมันล่ะก็ กลับสามารถใช้มันฝึกฝนเคล็ดวิชาหลายอย่างที่แต่เดิมไม่สามารถฝึกฝนได้ ตลอดจนทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากด้วย
แต่ตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว
หลังจากจากเวลาครึ่งเช้าผ่านไป
ผู้ท้าสู้บนลานประลองที่หนึ่งก็ค่อยๆ เริ่มลดน้อยลง จนบางครั้งเม็ดทรายไหลลงไปครึ่งหนึ่งถึงมีคนขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง
ประจักษ์ชัดว่าหลังจากผ่านการประลองอันดุเดือดมาหลายครั้ง ผู้ที่ยังกล้าท้าสู้ศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกนั้นมีไม่มากแล้ว
สำหรับศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกอย่างสือชวน ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้เลือกท้าสู้บนลานประลองที่หนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าในช่วงเช้านั้น เขาชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่สิบห้าบนลานประลองที่สองได้ตั้งแต่เมื่อไหร่
มาจนถึงตอนนี้เจ้าเด็กเกาชงก็ยังไม่ได้ขึ้นไปท้าประลอง แต่กลับมองมาที่หลิ่วหมิงด้วยสายตาที่เยือกเย็นอยู่ตลอด เจตนาเขานั้นไม่ต้องบอกก็สามารถรับรู้ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย และเขาก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
จนในที่สุด เมื่อศิษย์ผู้หนึ่งบนลานประลองพ่ายแพ้แล้วอาจารย์จิตวิญญาณตั้งนาฬิกาทรายอีกครั้ง เม็ดทรายละเอียดในนั้นค่อยๆ ไหลลงไป จนเมื่อมันไหลไปได้สองในสามส่วนก็ยังไม่มีคนขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง
ตอนนี้ศิษย์บริเวณรอบๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละคนต่างก็มองมาอย่างใจจดใจจ่อ
เม็ดทรายละเอียดค่อยๆ ไหลลงไปจนกระทั่งเหลือแค่หนึ่งในสี่ส่วน…หนึ่งในห้าส่วน…หนึ่งในแปดส่วน…
สีหน้าของเกาชงที่เดิมทีจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความเยือกเย็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ผ่านไปสักครู่ เมื่อเขามองไปที่นาฬิกาทราย แล้วมองไปทางหลิ่วหมิงที่ไม่ยอมเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็เกิดอาการลังเลขึ้นมา
“ศิษย์น้องเกาอย่าเสียเวลาอีกเลย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่รู้แผนของเจ้าแล้ว และเมื่อเลยเวลาไปศิษย์น้องก็จะไม่สามารถขึ้นไปท้าสู้บนลานประลองนี้ได้แล้ว เจ้าเด็กนั่นตั้งใจให้เจ้าละทิ้งสิทธิ์ในการชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกไปพร้อมกัน” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวออกมาด้วยความกระวนกระวาย
“ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ อย่างมากข้าก็แค่ไม่เข้าร่วมท้าสู้ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และยอมเสียเวลาไปพร้อมกับเขา” เกาชงกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง
“แต่ว่าศิษย์น้องเกาไม่เพียงแค่จะพลาดการชิงตำแหน่งในลานประลองแรก อาจจะต้องรอจนถึงการท้าสู้ของลานประลองสุดท้ายสิ้นสุดเขาถึงยอมขึ้นไปก็เป็นได้ แต่ศิษย์น้องเกาไม่อาจยืดเยื้อเวลาออกไปได้อีกแล้ว ถ้าหากเจ้าไม่เข้าร่วมการท้าสู้บนลานประลองแรกไม่เพียงแต่จะทำให้ตนเองเสียชื่อเสียงเท่านั้น แม้แต่หน้าอาจารย์อาก็จะไม่เหลือด้วย” เมื่อชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนเห็นเม็ดทรายเหลืออยู่แค่หนึ่งในสิบส่วน ก็กล่าวออกมาด้วยความร้อนใจ
เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว
“ศิษย์พี่เกา สำหรับเจ้าเด็กสารเลวนั่นมันไม่คุ้มที่ท่านจะทำเช่นนี้ อย่างมากก็แค่ให้ศิษย์พี่คนอื่นๆ จัดการกับเขาก็ได้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถในการชิงสิบอันดับแรกมาได้” มาถึงจุดนี้แล้วมู่หมิงจูก็เอ่ยปากออกมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่ผิด ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าค่อยมาท้าสู้กับเขาละกัน ถึงแม้พลังของข้าจะไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ แต่ยังพอที่จะเข้าไปในยี่สิบอันดับแรกได้” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนพยักหน้ากล่าวออกมา
“ก็ได้ คงได้แต่ทำตามที่เจ้าบอกก่อน ข้าจะไม่ยอมทำให้อาจารย์ผิดหวังอย่างแน่นอน ถ้าเด็กนี่พลังไม่เท่าไหร่ล่ะก็ ให้ศิษย์พี่ซิ่งรับมือกับเขาก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากในตอนท้ายเขาสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้จริงๆ ข้าเองก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสต่อสู้กับเขา” เกาชงมองไปยังส่วนบนของนาฬิกาทรายที่เหลือเม็ดทรายอยู่น้อยนิด แล้วในที่สุดก็กัดฟันกล่าวออกมา
จากนั้นเท้าทั้งสองค่อยๆ สั่นไหว แล้วกลายเป็นเงาก่อนที่จะปรากฏตัวบนลานประลอง
บนลานหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ถึงได้มีรอยยิ้มปรากฏออกมา
ในขณะเดียวกันหลิ่วหมิวก็ยิ้มบางๆ ออกมา
“ข้าขอท้าสู้ศิษย์พี่เถี่ยที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับห้า” เกาชงกวาดสายตาไปยังใต้ธงที่อยู่แถวต้นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เจ้าอยากจะท้าสู้กับข้า ดีมาก ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าแท้จริงแล้วชีพจรจิตวิญญาณพสุธาในตำนานจะน่ากลัวสักแค่ไหนกัน” ศิษย์แกนนำที่อยู่ใต้ธงเสาที่ห้าเป็นชายหนุ่มใส่ที่เก็บผมไม้ พอเขาได้ยินเช่นนี้ก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาเป็นถึงศิษย์ที่มีชื่อจารึกอยู่อันดับที่ห้าบนแผ่นศิลาจันทรา ซึ่งเหมือนกับสี่อันดับแรกที่ไม่มีใครกล้าท้าสู้มาก่อน
“ศิษย์น้องจาง ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเด็กเถี่ยเจี้ยนผู้นี้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสาขายันต์มหาเวทย์ใช่ไหม แต่เขาไม่สนใจวิชาเขียนยันต์เหล่านั้นของเจ้าเลยฝึกฝนวิชาที่ผนึกยันต์กับกระบี่มาโดยตลอดใช่ไหม?” ทันใดประมุขนิกายปีศาจก็เอ่ยปากถามออกมา
“เรียนท่านประมุข ที่เจ้าเด็กเถี่ยเจี้ยนผู้นี้ฝึกฝนหลักๆ ก็คือวิชากระบี่ยันต์ที่ผู้อาวุโสผู้หนึ่งในสาขาข้าได้ทิ้งไว้ในสมัยก่อน ท่านเองก็รู้ว่าการประลองใหญ่ในครั้งก่อนนั้น เป็นเพราะว่าเขาเพิ่งจะได้ฝึกฝนวิชากระบี่ยันต์ได้ไม่นาน จึงเกือบจะไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปนานเช่นนี้คิดว่าวิชากระบี่ยันต์ที่ฝึกฝนคงไม่ธรรมดาแล้ว” อาจารย์อาจางแห่งสาขายันต์มหาเวทย์ที่เคยพบเจอกับหลิ่วหมิงในตอนนั้นฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กนี้จะทำความเข้าใจวิชากระบี่ยันต์ได้จริงๆ นับได้ว่าสติปัญญาเหนือกว่าผู้คนอื่นๆ มาก เสียดายที่นิกายเราไม่ได้ฝึกฝนกระบี่เป็นหลักเหมือนนิกายจันทราสวรรค์ เลยไม่อาจชี้แนะให้เขาได้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาด้วยความเสียดาย
“อนาคตของเขาคงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวเขาเองแล้ว” อาจารย์อาจางเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา