“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า เส้นปราณโลหิตบนตัวของศิษย์หลานเกาชงสกัดกลั่นมาจากโลหิตหยดนี้ เลือดจิตวิญญาณของอสูรระดับผลึกตนหนึ่ง ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งสำหรับพวกเรา แต่สำหรับศิษย์จิตวิญญาณแล้วกลับยิ่งมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ที่ไม่อาจคาดถึงได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอันใด ดูเหมือนอาจารย์อาเยี่ยนจะเอ็นดูศิษย์หลานเกาชงเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นคงไม่มอบสิ่งของล้ำค่าให้เช่นนี้” ผู้อาวุโสแซ่หวงกล่าวพึมพำออกมา ในคำพูดของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉาอย่างอดไม่ได้
“ในเมื่อศิษย์หลานเกาชงสกัดกลั่นเส้นปราณโลหิตได้ ถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับหยางเฉียนแต่ก็คงห่างชั้นกันไม่มากนัก ด้วยพลังของเขาสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกได้” ฉู่ฉีก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เฮ่อๆ! ถึงแม้ชงเอ๋อร์จะมีปราณโลหิตก่อนใครเพื่อน แต่เพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานไหนเลยจะสามารถนำมาเปรียบเทียบศิษย์หลานหยางได้ ขอแค่รักษาตำแหน่งในตอนนี้ได้ข้าก็พอใจมากแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจเอามือลูบหนวดแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป แน่นอนพวกเขาย่อมไม่เชื่อว่าคำพูดของเขาจะเป็นเรื่องจริง
และในขณะนั้นเอง ด้านล่างของแท่นประลองแรกมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินขึ้นแท่นประลองโดยไม่ต้องรอให้อาจารย์จิตวิญญาณตั้งนาฬิกาทราย และกล่าวขึ้นอย่างสงบ
“ไป๋ชงเทียนแห่งสาขาเก้าทารก ขอท้าสู้กับศิษย์พี่ซุนที่เป็นศิษย์แกนนำอันดับที่เก้า”
หลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันบนแท่นประลองแรก
เกาชงที่เพิ่งจะไปยืนอยู่ใต้ธงเสาที่ห้าเห็นเช่นนี้ก็ตีหน้าขรึมขึ้นมาทันที
เหลยเจิ้นกับเจียหลานเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
และเมื่อเฉียนฮุ่ยเหนียงเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นเคย กลับรู้สึกตะลึงเล็กน้อย
“อะไรกัน คือเด็กคนนี้นี่เอง! ศิษย์น้องกุย ถ้าหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋ผู้นี้จะเอาชนะศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของหุบเขาเก้าช่องได้ แต่ก็คงมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น ตอนนี้ฝึกฝนไปถึงไหนแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจที่อยู่บนลานหยกเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย และหันหน้ามาถามกุยหรูฉวน
“ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ! ช่วงนี้ข้ากับศิษย์น้องจูชื่อและคนอื่นๆ มัวแต่ยุ่งอยู่กับเหล็กแสงเย็นทะเลลึกชิ้นนั้น เลยไม่ได้สนใจการฝึกฝนของศิษย์คนอื่นๆ แต่จากการประลองเล็กครั้งล่าสุด ดูเหมือนจะอยู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง” กุยหรูฉวนยิ่งรู้สึกตกใจกว่ามาก และกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
ถึงแม้เขาคิดที่จะให้หลิ่วหมิงเข้าร่วมการประลองใหญ่ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเลือกท้าสู้ศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก
“อืม! เด็กคนนี้เห็นการประลองมากมากขนาดนี้ก็ยังกล้าขึ้นแท่นประลองอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอวดดีจนเกินไป ก็คงจะมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ พวกเรารอดูไปก่อนเถอะ!” หญิงแซ่หลินมองหลิ่วหมิงบนแท่นประลองแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
สายตาของอาจารย์อาจางแห่งสาขายันต์มหาเวทย์ที่มองดูหลิ่วหมิงบนแท่นประลองนั้น ดูเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่
คนอื่นๆ ที่ไม่สนใจหลิ่วหมิงตั้งแต่แรก พอได้ยินคำพูดนี้ต่างก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ตอนนี้คนที่ครองตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับเก้าไม่ใช่ศิษย์ที่มีชื่ออยู่บนแผ่นศิลาจันทราแต่เดิมแล้ว แต่เป็นชายหนุ่มแซ่ซุนที่มีธงสีน้ำเงิน และสีแดงปักอยู่ตรงหลังสองผืน
คนผู้นี้รูปร่างเตี้ยเล็ก ใบหน้าดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย แต่การประลองหลายครั้งในก่อนหน้า กลับใช้แค่ธงสีแดงปล่อยไฟคุโชนออกมา บวกกับวิชากระสุนไฟที่ดูเหมือนจะฝึกฝนจนเกือบถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แค่นี้ก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ใครก็ไม่อาจดูแคลนเขาได้
ขณะนี้ เมื่อชายหนุ่มแซ่ซุนได้ยินคำท้าสู้ของหลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น แล้วเดินมาตรงกลางแท่นประลองนานแล้ว
อาจารย์จิตวิญญาณหยิบป้ายคำสั่งออกมาอย่างไม่ลังเล พร้อมกับให้ทั้งสองหยดโลหิตลงไป จากนั้นก็กระตุ้นค่ายกลบนพื้นเพื่อปล่อยม่านแสงคุ้มกันออกมาอีกครั้ง
“เริ่มการท้าสู้ได้”
อาจารย์จิตวิญญาณที่เหาะออกไปนอกม่านแสงกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย เห็ดได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจการประลองในรอบนี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะหลิ่วหมิงค่อนข้างจะเด็กไปหน่อย พอมองก็ดูออกว่าเป็นศิษย์ใหม่ ทั้งยังไม่มีชื่อเสียงอะไร มันย่อมไม่คุ้มค่าต่อการรอคอย
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มแซ่ซุนที่ยืนอยู่บนแท่นประลองก็คิดเช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาเหยียดปากเหยียดหยาม แม้แต่ธงบนหลังก็ไม่ดึงออกมาแม้แต่ผืนเดียว เพียงแค่ร่ายคาถาแล้วยกมือทั้งสองขึ้น พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้อง ลูกเปลวไฟสี่ลูกก็พุ่งยิงติดต่อกันออกไป จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็กระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!” แสงสีแดงพุ่งออกจากเท้าของเขา และกลายเป็นกำแพงไฟม้วนตัวออกไปจากด้านหน้าของเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อโซ่สีดำก็วิ่งเต้นออกมา หลังจากมีเสียงดัง “ป้าบๆ!” ลูกเปลวไฟทั้งสี่ลูกก็ถูกโจมตีออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
และเมื่อกำแพงไฟที่สูงจั้งกว่าๆ นั้นม้วนตัวเข้ามาถึง เขาก็สะบัดแขนอีกข้าง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือเปล่งประกายในทันที หัวพยัคฆ์อันลางเลือนได้ปรากฏออกมาพร้อมกับอ้าปากพ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลนออกไป
ด้วยระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนี้ อานุภาพของอาวุธอาญาสิทธิ์ที่ถูกเขากระตุ้นในตอนนี้จึงแตกต่างกับตอนแรกราวฟ้ากับดิน
พอคลื่นเสียงปรากฏ มันก็พุ่งออกไปราวกับคลื่นยักษ์สีขาว
หลังจากเสียงดัง “ฟู่!” พอคลื่นเสียงปะทะกับกำแพงไฟมันก็แยกออกเป็นสองส่วนพุ่งผ่านด้านข้างทั้งสองของหลิ่วหมิงไป สุดท้ายมันก็ไปโจมตีโดนม่านแสงด้านหลังและดับไป
“มิน่าล่ะ! เจ้าถึงได้กล้าท้าสู้กับข้า ที่แท้ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่อย่างข้าก็จะลงมือจริงจังบ้างละ!”
ชายหนุ่มแซ่ซุนที่เดิมทีไม่สนใจใยดีหลิ่วหมิง พอเห็นคู่ต่อสู้ทำลายการโจมตีของตนเองได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ดึงธงสีแดงที่ปักอยู่ตรงหลังออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่เอาอาวุธอาญาสิทธิ์อีกชิ้นออกมาใช้คู่กันเถอะ! มิเช่นนั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้มัน” หลิ่วหมิงมองธงสีแดงในมือของฝ่ายตรงข้าม แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ฝีปากเจ้าช่างกล้าไม่เบา ลองลิ้มรสความร้ายกาจที่แท้จริงของธงเปลวไฟผืนนี้ก่อนแล้วค่อยพูดอวดดีเถอะ!” ชายหนุ่มแซ่ซุนได้ยินก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นมือทั้งสองก็จับก้านธงไว้มั่น แล้วเริ่มกวัดแกว่งไปมาพร้อมถ่ายราคา
พริบตานั้นเอง เปลวไฟแต่ละสายก็ปรากฏขึ้นบนธงสีแดง และปรากฏออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ครู่เดียวเปลวไฟเหล่านี้ก็ประสานเข้าด้วยกันกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวหลายฉื่อ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หรี่ตาทั้งสองลง พลันยกสองแขนขึ้นทำท่ามือพร้อมกับร่ายคาถาออกมา จุดแสงสีเขียวหลายจุดปรากฏขึ้นมาด้านหน้าของเขาทันที
“ไป!”
ชายหนุ่มแซ่ซุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบตะโกนออกมาพร้อมกับโบกสะบัดแขนอย่างรุนแรงในทันที
เมฆอัคคีสีแดงบนธงพุ่งออกไปหาหลิ่วหมิงในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา