“ศิษย์น้องเองก็ไม่ค่อยชัดเจนในเรื่องนี้มากนัก พวกท่านเองก็รู้ว่าข้ากับศิษย์น้องจู และศิษย์น้องจงต่างก็ไม่รับศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์ติดตาม เป็นเพราะว่าปัญหาเรื่องคุณสมบัติของเขา คาดว่าเขาคงจะได้รับโอกาสอันดีในด้านอื่นๆ”
“อยากจะรู้สาเหตุมันก็ไม่ยาก พวกเราก็แค่เรียกศิษย์หลานไป๋มาสอบถามสักหน่อยจะก็รู้เรื่องชัดเจนแล้ว” ฉู่ฉีแห่งสาขาหยินทนทรมานคิดลังเลเล็กน้อย แล้วพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตามบทบัญญัติที่ปรมาจารย์ได้กำหนดไว้ ไม่ว่าศิษย์ในสาขาจะได้รับโอกาสอันดีใดๆ ล้วนเป็นเรื่องของเขาเอง ผู้อาวุโสอย่างเราไม่สามารถสอบหาต้นสายปลายเหตุได้” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ศิษย์พี่กุยคิดมากไป นี่ไม่ใช่การสอบหาต้นสายปลายเหตุ ถ้าหากศิษย์หลานไป๋เพียงแค่ฝึกฝนเข้าสู่ระดับที่สูง หรือว่าได้รับอาวุธอาญาสิทธิ์ อาวุธจิตวิญญาณต่างๆ พวกข้าย่อมไม่สอบถามอย่างแน่นอน แต่การผนึกวิชาประทับนี้ออกจะดูแปลกประหลาดไปหน่อย หากไม่สอบถามให้กระจ่าง แล้วมีอะไรแปลกประหลาดอยู่ในนั้นจริงๆ เกรงว่ามันอาจไม่ดีต่อนิกายปีศาจก็ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ไม่ใช่ว่าได้อธิบายเรื่องการกลั่นสกัดปราณโลหิตของเกาชงให้พวกเราฟังจนหมดเหรอ?” ฉู่ฉีกลับกล่าวอย่างราบเรียบ
สีหน้ากุยหรูฉวนดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที
พอได้ยินเช่นนี้อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็กระซิบกระซาบกันขึ้นมา ในนั้นมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา หลังจากผ่านไปสักครู่ ในที่สุดก็ได้เอ่ยปากออกมา
“ศิษย์หลานไป๋ฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ย่อมไม่สามารถใช้เวลาแค่ไม่กี่ปีฝึกฝนวิชาได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เรื่องการสอบถามง่ายๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แน่นอนว่าศิษย์น้องกุยก็ไม่ต้องวิตกไป นี่ไม่ใช่การสอบปากคำ เป็นแค่คำถามง่ายๆ จากผู้อาวุโสอย่างเราเท่านั้น ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋จะไม่ยอมตอบก็จะไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด”
ได้ยินประมุขนิกายกล่าวเช่นนี้ อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็สบตากันครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่จำใจตอบตกลง แน่นอนว่าเขาเองก็แปลกใจเหมือนกันที่เห็นหลิ่วหมิงฝึกฝนจนประทับวิชาได้สำเร็จ
ดังนั้นเมื่อมีผู้ท้าสู้อีกคนปรากฏขึ้นบนลานประลอง หูหลิ่วหมิงก็ได้รับคลื่นเสียงที่ส่งมาจากมากุยหรูฉวน
เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วแล้วก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่แสดงอาการใดๆ พร้อมกับทำท่ามือแสดงวิชาทะยานเวหาแล้วเหาะขึ้นไปบนลานหยก
ศิษย์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่อาจารย์จิตวิญญาณชุดผ้าดิ้นเหมือนจะได้รับคำบอกกล่าวมาก่อนหน้านั้นแล้วเลยไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
“ศิษย์ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์กุย ท่านประมุข และอาจารย์อาทุกท่าน”
พอหลิ่วหมิงร่อนลงบนลานหยกก็รีบทำการคารวะในทันที
“ชงเทียน เจ้าลุกขึ้นเถอะ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ไม่คาดคิดว่าจะเข้าไปในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ ถ้าหากเจ้ายังสามารถรักษาตำแหน่งต่อไปได้ ข้ากับอาจารย์อาจู และคนอื่นๆ จะต้องให้รางวัลเจ้าอย่างงาม ตอนนี้อาจารย์อาท่านประมุขกับอาจารย์อาท่านอื่นๆ มีเรื่องบางอย่างอยากจะถามเจ้า เจ้าก็ตอบคำถามให้ดีสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากไม่สะดวกตอบก็ไม่จำเป็นต้องฝืน” กุยหรูฉวนบอกให้หลิ่วหมิงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ทราบ! ศิษย์จะตอบทุกอย่างที่ศิษย์รู้” หลิ่วหมิงลุกขึ้นแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ศิษย์หลานไป๋ช่างเป็นผู้มากปัญญาจริงๆ ไม่ต้องวิตกไป พวกเราเรียกเจ้ามาก็เพียงแค่จะสอบถามสักสองเรื่องเท่านั้น” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูหลิ่วหมิวครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ไม่ทราบว่าท่านประมุข และอาจารย์อาทั้งหลายอยากจะสอบถามในเรื่องอันใด?” หลิ่วกล่าวอย่างนอบน้อม
“ศิษย์หลานไป๋ ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่ผิดใช่ไหม?” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้าแล้วก็เริ่มเอ่ยปากถามออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์ได้ก้าวเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเมื่อไม่นานมานี้” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ด้วยร่างที่มีสามชีพจรจิตวิญญาณของเจ้า สามารถใช้เวลาสั้นๆ ฝึกฝนจนถึงเขตแดนนี้ได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เช่นนี้แล้วปกติเจ้าคงจะฝึกฝนอย่างยากลำบาก และใช้เวลาไปไม่น้อยใช่ไหม!” ประมุขนิกายปีศาจถามขึ้นอีกครั้ง
“ใช่แล้ว หลายปีมานี้ศิษย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกในพลัง” หลิ่วหมิงเอ่ยปากยอมรับออกมา
“ปกติเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่ในการฝึกฝนวิชาคมวายุ?”
“ศิษย์มีเวลาไม่มาก เพียงแค่ใช้เวลาวันละสองชั่วยามในการฝึกฝนวิชาเท่านั้น”
“ดูจากการประลองของศิษย์หลานเมื่อครู่แล้ว คงจะฝึกฝนวิชาคมวายุจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ และสามารถผนึกประทับวิชาได้แล้วใช่ไหม?”
“ศิษย์ผนึกประทับวิชาคมวายุแล้วจริงๆ”
“ในเมื่อเจ้ามีเวลาฝึกฝนไม่มาก แล้วเจ้าทำมันสำเร็จได้อย่างไร” ในที่สุดดวงตาทั้งคู่ของประมุขนิกายปีศาจก็หรี่ลง
อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ศิษย์ไม่เข้าใจความหมายของอาจารย์อาท่านประมุข ขอได้โปรดชี้แนะ?” หลิ่วหมิงเหมือนจะรู้สึกฉงนสนเท่ห์ และไม่เข้าใจในคำถาม
“ศิษย์หลานไป๋ อย่าบอกนะว่าเจ้าเพียงแค่ใช้เวลาฝึกฝนวิชาคมวายุวันละสองชั่วยาม ก็สามารถผนึกประทับวิชาได้เอง!” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา