ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 97

สรุปบท ตอนที่ 97: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 97 – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 97 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 97 มุกเพลิงอัคคีกับโอสถโลหิตไขกระดูก
ตอนที่ 97 มุกเพลิงอัคคีกับโอสถโลหิตไขกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่เพราะว่าชายหนุ่มตะโกนออกมาเร็วมากพอ เกรงว่าแขนหรือขาของเขาคงจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว

ชายหนุ่มที่ยอมแพ้ เขากระโดดลงจากลานประลองด้วยสีหน้าหงอยเหงา โดยไม่รอให้อาจารย์จิตวิญญาณประกาศผลก่อน

สิ่งนี้ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นในบรรดาศิษย์ที่ชมอยู่ด้านล่างลานประลอง และต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา

“ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้เก่งกาจเหลือเกิน ไม่คาดคิดว่าจะใช้แค่วิชาคมวายุก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ไม่รู้ว่ายังจะมีวิธีการอะไรอื่นอีกหรือเปล่า!”

“ทำไมเขาปล่อยคมวายุได้รวดเร็วขนาดนี้ ข้าเหมือนจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้ร่ายคาถาเลย อานุภาพมันก็เหนือกว่าคมวายุโดยทั่วไปมาก”

“เจ้าโง่ เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอ วิชาคมวายุของศิษย์น้องไป๋ได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบในตำนานแล้ว ไม่แน่อาจจะผนึกประทับวิชาแล้วก็ได้!”

“ประทับวิชา! คือสิ่งใดกัน?”

“อันนี้…แม้แต่ประทับวิชาเจ้าก็ยังไม่รู้ แล้วจะมีอะไรที่มันน่าสนทนากับเจ้าด้วยอีกเล่า กลับไปถามผู้อาวุโสก็จะรู้เอง”

……

ลานประลองที่หนึ่งครึกครื้นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากศิษย์ที่อยู่ลานประลองรอบๆ ด้วย ศิษย์บางคนที่เมื่อครู่ไม่ได้สนใจก็เดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ และสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เอ๋! นี่…ไม่ใช่ศิษย์น้องไป๋หรอกหรือ! ข้า…ไม่ได้ดูผิดนะ ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องไป๋จะอยู่บนลานประลองที่หนึ่ง ธงด้านหลังไม่ใช่เครื่องหมายที่แสดงถึงศิษย์แกนนำอันดับเก้าหรอกหรือ!” เซวียซานเพิ่งจะเข้ามาดูความครึกครื้นด้วยความแปลกใจพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ หลังจากที่สายตาของเขากวาดมองบนลานประลองอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้สึกตกใจจนพูดออกมาด้วยความสับสน

พอวั่นเสี่ยวเชี่ยน และศิษย์เก้าทารกไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นใบเห็นของหลิ่วหมิงบนลานประลองอย่างชัดเจนแล้ว ก็จ้องมองจนอ้าปากค้าง

คนจำนวนหนึ่งที่รู้จักหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน

ผู้ที่ตกตะลึงเลยพรึงเพริดที่สุด กลับเป็นมู่อวิ๋นเซียนหญิงสาวใบหน้างดงามที่พอจะรู้จักหลิ่วหมิงอยู่บ้าง

นางเพิ่งจะโล่งใจที่เห็นตู้ไห่เอาชนะผู้ท้าสู้ได้ จากนั้นจึงมาเดินดูลานประลองอื่นๆ และเห็นว่าหลิ่วหมิงขึ้นลานประลองที่หนึ่งด้วย

ด้วยเหตุนี้สีหน้านางจึงเต็มไปด้วยความสนใจ แต่ต่อมานางกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงสามารถเข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ บนแผ่นศิลาจันทราได้ ประมุขนิกายปีศาจจะต้องพิจารณาการเปลี่ยนตัวผู้ที่จะมาเป็นเตาหลอมพลังของเกาชงแล้ว

ถ้าหากว่าหลิ่วหมิงสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ และรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบความเป็นความตาย หลานสาวของตนจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน ทางนิกายจะต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายคนของศิษย์ที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้กับนิกายอย่างแน่นอน

ขณะมู่อวิ๋นเซียนกำลังรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนั้น ในที่สุดบนลานประลองที่หนึ่งก็ไม่มีผู้ขึ้นไปท้าสู้แล้ว

หลังจากนาฬิกาทรายที่อาจารย์จิตวิญญาณได้ตั้งไว้จนเม็ดทรายเม็ดสุดไหลลงไปจนหมด เขาก็ประกาศสิ้นสุดการประลองของลานประลองที่หนึ่ง

ศิษย์ใต้ธงสิบคนที่อยู่บนลานประลองได้รับตำแหน่งชั่วคราว ก่อนการประลองรอบที่สองใครก็ไม่สิทธิ์มาท้าสู้พวกเขาได้

ได้ยินประกาศจากจากอาจารย์จิตวิญญาณเช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างลานประลองต่างก็มองหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ที่อยู่บนนั้นด้วยสายตาที่อิจฉา และยกย่องสรรเสริญ

ถ้าดูจากการประลองใหญ่ที่ผ่านมา ศิษย์สิบคนบนลานประลองนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะยังรักษาตำแหน่งไว้ได้จนการประลองใหญ่สิ้นสุด

ต่อให้จะถูกท้าสู้ในการประลองรอบที่สองจนหลุดไปจากศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก แต่ก็จะมีชื่ออันดับต้นๆ บนแผ่นศิลาจันทรา

หลังจากอาจารย์จิตวิญญาณประกาศเสร็จแล้ว หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ ลงไปจากลานประลอง

“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าทำให้สาขาเก้าทารกของเราได้หน้าเป็นอย่างมาก”

“ศิษย์พี่ไป๋ ยินดีด้วย จากการประลองใหญ่สองสามครั้งที่ผ่านมา ท่านเป็นคนแรกของสาขาเราที่ได้เข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรก”

“ฮ่าๆ! เช่นนี้แล้ว ดูสิว่าจะมีสาขาไหนกล้าดูถูกสาขาเก้าทารกเราอีกไหม!”

หลิ่วหมิงเพิ่งจะลงจากลานประลอง เซวียซาน วั่นเสี่ยวเชี่ยน และศิษย์เก้าทารกคนอื่นๆ ก็รีบมาห้อมล้อมตัวเขา และกล่าวออกมาด้วยความดีใจ

แน่นอนว่าหลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไปอย่างถ่อมตัว แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นมา

“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าช่างปิดได้มิดชิดเสียจริง แต่อย่าคิดว่าผนึกประทับวิชาคมวายุได้ก็จะสามารถอยู่สิบอันดับแรกได้ เท่าที่ข้ารู้มายังมีผู้ที่ซ่อนพลังไว้จำนวนมากเตรียมที่จะแสดงพลังที่แท้จริงในการท้าสู้รอบที่สอง ถ้าเจ้าอยากจะฉลองก็ควรจะรอให้การประลองใหญ่สิ้นสุดจริงๆ เสียก่อน”

เกาชงเดินมาพร้อมกับสือเจียน และคนอื่นๆ เขาพูดขึ้นกลับหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นจากที่ไกลๆ และมู่หมิงจูที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มองหลิ่วหมิงด้วยความตกใจ

เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่หลิ่วหมิงเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้นั้น ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องเกาชง ข้าจะได้อยู่ในสิบอันดับแรกหรือไม่ ก็รอดูหลังสิ้นสุดการประลองรอบที่สองในวันพรุ่งนี้ก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเกาชงครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ดี ข้าจะเช็ดหน้าเช็ดตารอคอย” เกาชงสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเหี้ยมโหดแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป

หลังจากเซวียซาน และศิษย์เก้าทารกคนอื่นๆ ได้ยินคำสนทนาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างหลิ่วหมิงกับเกาชง ก็อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้

“อันนี้มันก็พูดยาก แต่ถ้าหากไม่มีผู้ท้าสู้ที่มีปีศาจดุร้ายปรากฏออกมาล่ะก็ คงจะมั่นใจได้ในเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“เจ็ดถึงแปดส่วน! เฮ่อๆ! ดูท่านอกจากเจ้าจะมีวิชาคมวายุที่ประทับวิชาแล้วยังคงมีพลังอื่นที่ซ่อนอยู่” จูชื่อได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

กุยหรูฉวนก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา

“ดีมาก ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าสักประโยค เจ้าจะยอมไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่ ข้าคิดที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ติดตาม!” นักพรตจงที่เงียบมาโดยตลอด พอเอ่ยปากก็พูดประโยคที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

ถึงแม้เขาพอจะเดาได้ลางๆ ว่าที่เรียกเขามาครั้งนี้จะต้องมีสิ่งดีๆ มอบให้ แต่เรื่องที่ถูกนักพรตจงรับเป็นศิษย์ติดตามนี้เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงมาก่อน

แต่เมื่อเขาสามารถเป็นศิษย์ติดตามของอาจารย์จิตวิญญาณได้ ย่อมเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก

“แน่นอน ข้ายินดี! ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์!”

หลิ่วหมิงฉุกคิดเล็กน้อยแล้วก็รีบโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างสุภาพ

“ดีมาก! ลุกขึ้นเถอะ! ถึงแม้จะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่ในเมื่อฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ และยังผนึกประทับวิชาได้อีก ไม่แน่อาจยังพอมีหวังที่จะก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“คารวะอาจารย์อากุย อาจารย์อาจารย์อาจู!” หลิ่วหมิงรีบคารวะกุยหรูฉวนกับจูชื่อ

“ศิษย์หลานไป๋ จากนี้ไปเจ้าก็เป็นศิษย์ติดตามของสาขาเก้าทารกแล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ!” กุยหรูฉวนหัวเราะเบาๆ

จูชื่อเองก็โบกมือให้หลิ่วหมิงลุกขึ้น

“ในเมื่อชงเทียนไหว้พวกท่านทั้งสองใหม่อีกครั้ง การเรียกขานก็เปลี่ยนไปด้วย หวังว่าคงไม่ไหว้โดยเสียเปล่านะ” นักพรตจงกล่าวกับอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสอง และหัวเราะเบาๆ

“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ในเมื่อชงเทียนเจ้าถูกรับเป็นศิษย์แล้ว จะขาดของขวัญต้อนรับไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้ามีมุกเพลิงอัคคีอยู่สามเม็ด และจะมอบมันให้กับศิษย์หลานไป๋ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งก็โยนมันออกไปทั้งหมด ไม่แน่มันอาจจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้” จูชื่อหัวเราะออกมา และหยิบตลับเหล็กเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อโยนไปให้หลิ่วหมิง

“ข้าไม่ได้ใจกว้างอย่างศิษย์น้อง ในมือมีแค่โอสถโลหิตไขกระดูกที่ใช้ชุบหลอมโลหิตให้บริสุทธิ์เท่านั้น” กุยหรูฉวนยิ้มแล้วก็หยิบขวดสีขาวบริสุทธิ์ออกมายื่นให้หลิ่วหมิงเช่นกัน

หลิ่วหมิงดีใจจนกล่าวขอบคุณออกมาติดๆ กัน เขาเก็บของทั้งสองสิ่งไว้ และยังไม่รีบร้อนที่จะเปิดมันออกมาดู

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา