ผลึกสีดำในกระบอกกลมฉับพลันมีประกายแสงแวววาวไหลเคลื่อน เสียง “ฟู่” ดังขึ้นแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ปราณสีดำเส้นหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาจากด้านในแล้วเริ่มวนเวียนบนปลายนิ้วทั้งห้า
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าปลายนิ้วเย็นเฉียบอยู่พักหนึ่ง ครู่ต่อมาปราณดำก็เริ่มแผ่ลามจากฝ่ามือไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็ปกคลุมไปทั้งร่าง กระทั่งใบหน้าก็ถูกปกคลุมไว้ด้วย
เสียง “กึกๆ” ดังขึ้นมาพร้อมกับที่ชุดเกราะซึ่งทอแสงสีดำขมุกขมัวชุดหนึ่งลอยออกมา ปกป้องทั้งร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา
สองแขนที่อยู่สองฝั่งของเสื้อเกราะมีภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่าสองหัวสลักไว้ด้วยลายเส้นแวววาวสีดำ แลดูประหนึ่งมีชีวิต
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกค่อนข้างอัศจรรย์ใจก็คือแม้ทั้งร่างจะถูกชุดเกราะจักรกลหุ้มอยู่ แต่กลับไม่กระทบกับประสาทสัมผัสของเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปเล็กน้อยแล้วก็พบว่าด้านในหน้าอกของชุดเกราะมีศิลาแวววาวสีขาวก้อนหนึ่งกำลังทอแสงจิตวิญญาณอยู่เรืองๆ เห็นชัดว่ามันเป็นแกนกลางของชุดเกราะนี้
บนส่วนอื่นของชุดเกราะมียันต์สีดำหน้าตาเหมือนลูกอ๊อดนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบอยู่เรืองๆ แผ่ปราณธาตุดินหนาทึบออกมาเป็นระยะ
ดูจากภายนอกแล้วชุดเกราะจักรกลชุดนี้พลังป้องกันไม่เลวทีเดียว
หลิ่วหมิงมองภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่าตรงหัวไหล่ซ้ายขวา หลังจากนั้นจึงโคจรพลังเวทในร่างไปยังหัวไหล่ทั้งสองข้าง ปราณสีดำสายหนึ่งวนล้อมภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่ารอบหนึ่ง ทันใดนั้นสองตาบนหัวหมาป่าก็เปล่งแสงเจิดจ้า ตรงหัวไหล่ของชุดเกราะนูนขึ้นมาเป็นภาพนูนรูปหัวหมาป่าสีดำที่ดูราวกับมีชีวิตสองตัว
หลิ่วหมิงเพ่งสมาธิถ่ายเทพลังเวทในร่างเข้าไปในหัวหมาป่าทั้งสองหัวต่อ
หัวหมาป่าสีดำทั้งสองหัวอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีดำขลับสองสายออกมาจากสองฝั่งเหมือนฝาหอยพัด ปกป้องหลิ่วหมิงไว้ตรงกลาง
“ชุดเกราะจักรกลของนิกายเทียนกงน่าสนใจจริงๆ…”
หลิ่วหมิงทดลองอยู่ครู่หนึ่ง ลำแสงสีดำสามารถเคลื่อนพลังเวทบังคับให้เปลี่ยนรูปได้ จากสองสายกลายเป็นสี่สาย หรือจะแปลงเป็นรูปร่างต่างๆ เช่นโล่ คมดาบแสงก็ได้ เขาค่อนข้างพอใจทีเดียว
เวลานี้หลัวเทียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กำลังบังคับชุดเกราะจักรกลที่คลุมทั่วร่าง ทำความคุ้นเคยกับการใช้งานแบบต่างๆ อย่างค่อนข้างสนใจเช่นเดียวกัน
ตอนนี้พวกหลิ่วหมิงที่ดูจากด้านนอกเหมือนกับหุ่นสีดำสองตัวก็ลุกขึ้นขยับในค่ายกล เริ่มแรกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างระมัดระวังเล็กน้อย แต่เมื่อพบว่าไม่ว่าตนจะเคลื่อนไหวอย่างไร ‘ภูเขาลูกน้อย’ ลูกนั้นที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด ทั้งสองคนจึงเริ่มกระโดดโลดเต้นอยู่ในค่ายกล
หลังจากเวลาผ่านไปค่อนครึ่งชั่วยาว จินเทียนชื่อกับเวินเจิงก็เหาะกลับมาจากไกลๆ ดูจากสีหน้าของทั้งสองคนแล้วเห็นชัดว่าไม่พบสิ่งผิดปกติประการใด
ส่วนหลิ่วหมิงหลังจากฝึกอยู่พักหนึ่งก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับชุดเกราะจักรกลแล้ว เวลานี้เห็นจินเทียนชื่อกลับมาจึงเอ่ยปากท่องมนตร์ สองมือทำท่าเคล็ดวิชา แสงสีดำบนร่างไหลวนพักหนึ่ง ชุดเกราะก็กลายเป็นกระบอกโลหะสีดำขลับกระบอกหนึ่งอีกครั้ง
ตอนนี้พวกเยี่ยโจ่งเจ็ดคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็หารือกันเสร็จกำลังเดินมาตรงนี้เช่นเดียวกัน
“ในเมื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเช่นนั้นงานก็ไม่ควรชักช้า ออกเดินทางกันเร็วหน่อยเถิด” จินเทียนชื่อยกแขนเสื้อเก็บค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ หลังจากบอกทุกคนว่าไม่พบสิ่งผิดปกติเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงขรึม
พวกหลิ่วหมิงกับเยี่ยโจ่งย่อมไม่เห็นแย้ง ดังนั้นคณะเดินทางจึงเก็บซ่อนลมปราณทั่วร่าง ออกเดินทางจากตีนเขาอย่างระมัดระวัง เหาะเรี่ยพื้นมุ่งไปยังป่าต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้า
เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากทั้งคณะเหาะมาได้ราวยี่สิบลี้ เยี่ยโจ่งจึงส่งสัญญาณให้เริ่มเดินเท้า เดินเป็นเวลากว่าครึ่งเค่อจึงมาถึงสองสามลี้ใกล้ๆ ‘ภูเขาดินน้อย’ ที่เห็นก่อนหน้านี้แล้วหยุดอย่างเงียบเชียบ
ตอนที่อยู่ห่างไปร้อยลี้ยังไม่รู้สึกอันใดกับขนาดร่างกายของอสูรตัวนี้นัก แต่เมื่อเข้ามาใกล้ ความมหึมาของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนี้ก็ทำให้ศิษย์หัวกะทิกลุ่มหนึ่งจากนิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกงสูดลมหายใจดังเฮือกอย่างห้ามตนเองไม่ได้
แม้แต่จินเทียนชื่อที่เห็นโลกมามากก็ยังตะลึงไปเล็กน้อย
มองจากระยะใกล้เช่นนี้ อสูรยักษ์ตัวนี้เหมือนเทือกเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง ร่างกายใหญ่โตมโหฬารพาดทับป่าฝั่งนี้ทั้งแถบ รอบร่างมีฝุ่นดินสีน้ำตาลหม่นกระจายอยู่ทั่ว เมื่อนอนนิ่งแลดูสูงตระหง่านปานยอดเขา ไอหมอกสีเทาชั้นแล้วชั้นเล่าลอยวนเวียนอยู่รอบด้าน
หากไม่มีคนบอกล่วงหน้า คนทั่วไปเดินผ่านด้านข้างก็คงแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
“เริ่มเถอะ!”
หลังจากจินเทียนชื่อรั้งสายตากลับมาก็พยักหน้าให้เยี่ยโจ่งที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เยี่ยโจ่งได้ยิน ริมฝีปากก็ขยับเล็กน้อยสั่งบางสิ่งกับศิษย์นิกายเทียนกงหลายคนด้านหลังเสียงเบา
หลังจากนั้นศิษย์ห้าคนในนั้นก็ทยอยเหาะเร็วรี่ออกมา แยกย้ายกันไปอยู่รอบด้านของภูเขาดินอย่างเงียบเชียบ ตำแหน่งที่ยืนก่อตัวเป็นรูปดาวห้าแฉกอยู่เลือนราง
ส่วนเยี่ยโจ่งร่างกายพุ่งวูบเดียวไปปรากฏตัวอยู่เหนือยอดเขาของภูเขาดิน เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกแผ่นค่ายกลห้าสีแผ่นหนึ่งออกมา นิ้วลากบนแผ่นค่ายกลอย่างต่อเนื่องเร็วดุจสายฟ้าแลบ
ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนก็สะบัดแขนเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้ฝึกทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ธงค่ายกลหลากสีผืนแล้วผืนเล่าปักเป็นระเบียบบนพื้นดินรอบด้าน วางค่ายกลรูปวงกลมขนาดหลายจั้งห้าค่ายกลอย่างรวดเร็ว
พวกจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิงมือไพล่หลังยืนดูภาพตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แต่ในเวลาเดียวกันก็สังเกตความเคลื่อนไหวของ ‘ภูเขาดิน’ อยู่ตลอดเวลา
ดูจากสีสันของธงค่ายกล ค่ายกลทั้งห้ามีสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองทั้งหมดห้าสี พวกมันต่างสลักยันต์รูปแบบต่างๆ เอาไว้ เป็นตัวแทนของห้าธาตุคือทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน
ใจกลางค่ายกลมีลูกแก้วกลมขนาดเท่าฝ่ามือหลากสีสันทั้งหมดห้าลูกวางไว้สอดรับกัน คิดว่าคงจะเป็นหุ่นห้าธาตุห้าตัวนั้น
ทันใดนั้นเยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็ทำหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา