เยี่ยโจ่งเห็นเช่นนี้หน้าก็เขียวเล็กน้อยทันที สองมือรีบยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาไม่หยุดลงบนแผ่นค่ายกลห้าสี
ศิษย์ห้าคนของนิกายเทียนกงก็รีบกระตุ้นเคล็ดวิชาเช่นกัน ทุกคนเหาะทะยานไปอยู่เหนือศีรษะหุ่นขนาดยักษ์จากนั้นทยอยกันพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงบนศีรษะของหุ่นอย่างรวดเร็วดั่งสะเก็ดไฟแลบ สิบนิ้วบนมือทั้งสองข้างแปรเปลี่ยนไม่หยุดดุจกงล้อ
หุ่นขนาดยักษ์ห้าตัวที่เดิมทียืนนิ่งไม่ขยับฉับพลันก็ขยับแขนทั้งสองข้างอย่างพร้อมเพรียง ตบลงบนหน้าอกของตนเองแล้วเริ่มยกขาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ในเวลาเดียวกันยันต์ด้านหน้าหุ่นก็ขยายพรวดขึ้นอีกพร้อมกันรอบด้าน
เมื่อระยะห่างระหว่างหุ่นห้าตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ การเชื่อมต่อระหว่างพวกมันก็เพิ่มขึ้นดังเรือลอยตามน้ำ ค่ายกลแสงห้ามุมก็ก่อตัวชัดเจนขึ้นจากนั้นร่วงลงมาอีกครั้ง
เสียง “พรืด” ดังขึ้น อสูรยักษ์ถูกกดจนหมอบลงไปบนพื้นอีกครั้ง
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวม่านแสงห้าสีที่เดิมทีสั่นไหวไม่หยุดในที่สุดก็ฟื้นกลับมานิ่งสงบ
ค่ายกลห้าธาตุตรงหน้าขวางการพุ่งโจมตีของอสูรยักษ์ไว้ได้ ศิษย์นิกายเทียนกงผู้มีเหงื่อโชกศีรษะห้าคนโล่งอกชั่วคราว
หัวใจที่ขึ้นมาจุกที่คอเยี่ยโจ่งก็เคลื่อนกลับไปเช่นเดียวกัน
หลังจากอสูรยักษ์รวบรวมกำลังโจมตีแต่แหวกค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุดั่งหวังไม่ได้ มันก็ยิ่งลนลานอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายประหนึ่งขุนเขาลุกขึ้นแล้วทรุดลงไปในค่ายกลแสงไม่หยุด รูจมูกพ่นลมสีม่วงอ่อนร้อนระอุสายแล้วสายเล่าออกมา
ทว่าเนื่องจากขาดแถบแสงห้าสีที่พันธนาการไป หลังจากอสูรตัวนี้หยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็เริ่มพุ่งชนค่ายกลแสงอีกครั้ง ทำให้ค่ายกลทั้งหมดสั่นไหวอีกหน
“ศิษย์น้องเวิน ศิษย์น้องหยวน โจมตีดวงตาสองข้างของมัน!”
ในเวลานี้เองจินเทียนชื่อที่เดิมทีลอยนิ่งอยู่กลางท้องฟ้าก็เอ่ยปากสั่งพวกเขา
บุรุษแซ่หยวนได้ยิน เคล็ดวิชาที่มือก็เปลี่ยนไปทันที เขาบังคับหุ่นกระดูกที่เรียงแถวอยู่เบื้องหน้าให้ปล่อยแสงขวานสีขาวคมกริบสายแล้วสายเล่าฟันเข้าใส่ดวงตายักษ์ข้างซ้ายของอสูรยักษ์ประหนึ่งเม็ดฝน
เวินเจิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์ที่ทอแสงสีเขียวหยกกะพริบวูบวาบหลายแผ่นพุ่งออกมา หลังจากวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีม่วงดวงแล้วดวงเล่าพุ่งเร็วรี่ใส่ดวงตายักษ์ฝั่งขวาของอสูรยักษ์
อสูรยักษ์เหมือนจะสัมผัสได้ถึงเสียงลมจึงปิดตาขนาดเท่าบ้านทั้งสองข้างลงโดยไม่รู้ตัว
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นหลายหน!
ผลสุดท้ายไม่ว่าประกายขวานสีขาวหรือเปลวเพลิงสีม่วงเมื่อร่วงลงบนหนังตาสองข้างของอสูรยักษ์ก็พากันระเบิดกระจายกลายเป็นแสงดวงแล้วดวงเล่า แต่ทำร้ายมันไม่ได้สักนิด
ในเวลานี้เองฝ่ามือของจินเทียนชื่อก็พลิกครั้งหนึ่ง วงแหวนกลมที่ทอแสงสีขาวเรืองรองวงหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วลอยอยู่ในมือ
เขาท่องมนตร์ออกจากปาก ทันใดนั้นยันต์สีขาวตัวหนึ่งก็พุ่งออกจากปากแทรกลงไปในวงแหวนกลม
แสงสีขาวบนวงแหวนกลมฉับพลันสว่างจ้า ปราณเข้มข้นสีขาวจางๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าสายแล้วสายเล่าทะลักออกมาทั่วทุกสารทิศจมลงไปในวงแหวนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ปราณของมันขยายขึ้นพรวดพราดในทันที
“หรือว่านั่นคือวงแหวนเก็บพลังจิตวิญญาณที่เก็บพลังจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินได้?” เยี่ยโจ่งที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือค่ายกลสังเกตการเคลื่อนไหวของจินเทียนชื่ออยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นภาพนี้เขาก็พึมพำกับตนเองอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
ศิษย์นิกายเทียนกงที่ควบคุมหุ่นห้าคนที่เหลือได้ยิน ส่วนใหญ่ล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง
“ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัว เตรียมตัวให้ดี!”
ทันใดนั้นจินเทียนชื่อก็ตวาดเสียงดัง เขายกมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า วงแหวนกลมที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวในมือฉับพลันกลายเป็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งพาเงาเลือนรางสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่หัวของอสูรร่างยักษ์ที่กำลังหลับตาสองข้างสนิทอยู่
เสียง “วิ้ง” แผ่วเบาดังออกมา!
วงแหวนกลมสีขาวครอบลงบนเขาเดี่ยวสีดำขลับของอสูรยักษ์อย่างแม่นยำไม่พลาด
จากนั้นวงแหวนกลมสีขาวก็พลันรัดแน่นเหมือนงอกรากติดอยู่กับฐานของเขาขนาดยักษ์ ผิวของวงแหวนกลมทอแสงเจิดจ้าหลากสี แผ่คลื่นปราณจิตวิญญาณวงแล้ววงเล่าออกมา
ไม่รู้ว่าเพราะถูกคลื่นปราณจิตวิญญาณเข้มข้นเหล่านี้ดึงดูดหรือสาเหตุอื่นใด ฉับพลันอสูรยักษ์ก็แหงนคอแล้วอ้าปากมหึมาส่งเสียงคำรามดังสนั่นดูตื่นเต้นยินดีอย่างไร้สาเหตุ สี่เท่ากระทืบอยู่กับที่ ร่างกายมโหฬารสั่นอย่างบ้าคลั่งคล้ายวงแหวนกลมบนเขาเดี่ยววงนี้เป็นอาหารอันโอชะอะไรบางอย่าง
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบๆ” ขึ้นสองครั้ง!
เงาร่างสองร่าง สีดำร่างหนึ่ง สีเงินร่างหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากด้านหลังจินเทียนชื่อในพริบตา แล้วพุ่งตามกันเข้าไปในปากของอสูรยักษ์
เวลานี้อสูรยักษ์กำลังไล่ล่า ‘อาหารอันโอชะ’ ที่ครอบอยู่บนเขาเดี่ยวของมันอยู่จึงไม่มีเวลาสนใจพวกหลิ่วหมิงแม้แต่น้อย
“ระวัง!”
พร้อมกับที่หลิ่วหมิงพุ่งหายเข้าไปในปากของอสูรยักษ์ หูของเขาก็ได้ยินเสียงกระแสจิตของจินเทียนชื่อ จากนั้นเขาก็รู้สึกได้เพียงกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจที่โถมเข้ามาหาใบหน้า
เมื่อเขามองเห็นสภาพตรงหน้าชัดเจน เขาก็พบว่าตนเองอยู่ในอุโมงค์เนื้อยักษ์เส้นหนึ่ง สองฟากฝั่งคือกำแพงเนื้อสีชมพูอ่อนที่กำลังขยับขยุกขยิก
“ดูท่าที่นี่คงจะเป็นในลำคอของอสูรยักษ์กระมัง น่าตะลึงเสียจริง!” หลิ่วหมิงเห็นสภาพก็พึมพำกับตนเอง
ในตอนนี้เองลมสีม่วงอ่อนสายหนึ่งก็ลอยออกมาจากอุโมงค์เนื้อ ทันทีที่ลมสีม่วงพัดผ่านเสื้อผ้าของพวกเขา บนเสื้อผ้าก็ส่งเสียงดังชี่จากนั้นทะลุเป็นรูในทันใด เมื่อผิวหนังสัมผัสถูกลมเหล่านี้ก็เจ็บปวดราวถูกแทง
“ลมกัดกร่อน!”
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกหงายเรียกกระบอกโลหะสีดำกระบอกนั้นออกมา นิ้วมือขยับถ่ายเทพลังเวทเข้าไปด้านใน กระบอกกลมกลายเป็นแสงสีดำดวงหนึ่งหุ้มร่างกายไว้ทันที เสียงกลไกกึกกักดังกังวาน ชุดเกราะจักรกลสีดำขมุกขมัวชุดหนึ่งฉับพลันลอยออกมาหุ้มทั้งร่างของเขาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา