“ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็ไม่เกรงใจ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มแล้วเก็บกำไลเก็บของเข้าไปในแขนเสื้อ
การร่วมมือครั้งนี้เห็นชัดว่าทั้งสองฝ่ายล้วนพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ในเมื่อเรื่องเหล่านี้จบลงแล้ว ข้ากับเจ้าก็แยกกันตรงนี้เถิด” หลานซือคำนับน้อยๆ ให้หลิ่วหมิง แล้วเอ่ยออกมา
“สหายหลานตามสบาย การเดินทางมายังเศษซากโลกบนครั้งนี้ยังเหลือเวลาอีกนาน ไม่แน่ข้ากับเจ้าอาจยังมีวาสนาร่วมมือกันอีกก็ได้” หลิ่วหมิงคำนับกลับแล้วเอ่ยอย่างแฝงความนัยเช่นเดียวกัน
“เรื่องนี้แน่นอน” หลานซือหัวเราะเบาๆ ขณะที่กำลังจะจากไปนางก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า
“จะว่าไป มีเรื่องหนึ่งหลังจากข้าคิดดูแล้วคิดว่าบอกสหายหลิ่วไว้จะดีกว่า เรื่องที่จี๋อิ่งกับคนของเผ่าพยัคฆ์เงินโจมตีนิกายเทียนกงกับพวกเจ้าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจกะทันหัน เดิมทีพวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังซากโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าที่นั่นมีสมุนไพรจิตวิญญาณที่ยืดอายุขัยได้กับสมบัติล้ำค่าอื่นอีกไม่น้อย จากที่ข้ารู้มา ไม่ใช่เพียงเผ่าปีศาจ ยอดฝีมือจำนวนหนึ่งของเผ่ามนุษย์ก็เดินทางไปด้วย หากสหายหลิ่วสนใจจะไปดูสักหน่อยก็ได้ นี่คือที่ตั้งของโบราณสถานแห่งนั้น”
หลานซือเอ่ยพลางเรียกคัมภีร์หยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาโยนให้หลิ่วหมิง
“สมุนไพรจิตวิญญาณยืดอายุขัย!” หลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือออกไปรับคัมภีร์หยก
บนแผ่นดินจงเทียนขอเพียงเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณที่ยืดอายุขัยได้ล้วนนับเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณสุดยอดล้ำค่าที่แทบจะไม่มีคนเอาออกมาขาย
แม้จะเป็นหอการค้าขนาดใหญ่เช่นหอการค้าเชียนเหมิงก็มีสมุนไพรจิตวิญญาณยืดอายุขัยโผล่มาในงานประมูลสิบล้านปีครั้งเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับใด การยืดอายุขัยได้เล็กน้อยก็เป็นการเพิ่มความหวังที่จะเลื่อนระดับได้แล้ว
นับจากโบราณมาจนถึงปัจจุบันมีผู้ฝึกฝนผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรที่บรรลุรู้แจ้งในอึดใจนั้นก่อนสิ้นอายุขัยแต่จนใจที่ไม่มีเวลาเก็บตัวฝึกฝนอีกแล้ว ในช่วงเวลานี้ถ้าหากมีอายุขัยเพิ่มสักสิบหรือยี่สิบปีก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเลื่อนระดับเพิ่มอายุขัยขึ้นอีกมากได้
“ดูท่าสหายหลิ่วจะสนใจ แต่สถานที่ซึ่งมีสมบัติเช่นนี้ก็น่าจะมีอันตรายเช่นกัน สหายรักษาตัวด้วย” หลานซือยิ้มน้อยๆ จากนั้นร่างกายก็ขยับวูบเดียวกลายเป็นแสงสีฟ้าสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
หลิ่วหมิงมองทิศทางที่หลานซือจากไป ในดวงตาฉายแววประหลาดใจจากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างศพแห้งกรังของจี๋อิ่ง
เขางอนิ้วดีทีเดียวลูกไฟก็ร่วงลงบนศพของจี๋อิ่งแล้วเผามันจนไหม้เป็นจุณ
หลิ่วหมิงขยับร่างกำลังจะเลือกทิศทางหนึ่งเหาะจากไปเช่นกัน เพราะอย่างไรที่นี่ก็เกิดศึกใหญ่มาก่อน ใครจะรู้ว่าจะดึงดูดความสนใจของผู้ใดมาบ้าง
ทว่าเขาเพิ่งจะก้าวออกไปก้าวเดียว ทันใดนั้นเขาก็คิดบางสิ่งออก ร่างกายขยับเหาะมาถึงตำแหน่งที่มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาเคยตั้งอยู่
เขากวาดจิตสัมผัสผ่านบริเวณข้างเคียงจากนั้นก็ยกมือขึ้นกวัก ลูกแก้วกลมสีเทาขมุกขมัวสี่ลูกลอยออกมาจากใต้โคลนเลน มันก็คือสิ่งที่จี๋อิ่งใช้ตั้งเขตแดนสีเทานั่นเอง
เขตแดนปกป้องตัวเองที่จี๋อิ่งวางก่อนหน้านี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงตกอยู่ท่ามกลางมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษา มันก็ทำอันใดเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ลมปราณที่แผ่ออกมาจากลูกแก้วกลมสีเทาสี่ลูกในเวลานี้แผ่วจางอยู่บ้าง แต่หากสังเวยบำรุงเล็กน้อยน่าจะฟื้นสภาพกลับมาได้อยู่
หลิ่วหมิงมองสำรวจลูกแก้วกลมเหล่านี้ในมืออย่างละเอียดครู่หนึ่งก็พบว่าลูกแก้วกลมเหล่านี้เหมือนอาวุธจิตวิญญาณแต่ก็เหมือนธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลด้วย ทว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะจะศึกษาอย่างละเอียด หลังจากเขาเก็บลูกแก้วกลมทั้งสี่ลูกไป ร่างกายก็เหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปทันที
เขาเหาะมาหลายพันลี้เต็มๆ ก่อนจะหยุดอยู่หน้ายอดเขาที่แลดูรกร้างแห่งหนึ่ง จากนั้นขุดถ้ำหยาบๆ ถ้ำหนึ่งแล้วเหาะเข้าไป เตรียมตัวจะพักรักษาตัวสักหน่อยพร้อมกับสำรวจข้าวของที่ได้จากชัยชนะครั้งนี้ไปด้วย
ในเวลาเดียวกัน ห่างจากสถานที่ซึ่งหลิ่วหมิงอยู่ไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ เนินทรายขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันทอดตัวเรียงรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง
เนินทรายเหล่านี้ลูกที่เล็กมีขนาดเท่าบ้าน ส่วนพวกที่ลูกใหญ่ประหนึ่งขุนเขา เมื่อสายลมกรรโชกพัดดังหวีดหวิวมาเป็นระยะ พวกมันก็เปลี่ยนตำแหน่งกับขนาดไป
บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายเวิ้งว้าง แสงดาวสีขาวเส้นหนึ่งเหาะมาแต่ไกลก่อนจะหยุดบนท้องฟ้าเหนือเนินทรายลูกหนึ่ง เมื่อแสงดาวระยิบระยับจางหายก็เผยร่างมนุษย์ในนั้นออกมา
เขาก็คือจินเทียนชื่อผู้สวมอาภรณ์สีทองนั่นเอง
เขาในเวลานี้ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนท้องฟ้า เสื้อผ้าหลวมถูกสายลมแรงพัดดังพรึบพรับ เขาหันกลับไปมองด้านหลังด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ขอบฟ้าไกลออกไปมีแสงจิตวิญญาณกะพริบวิบวับ รุ้งสีเงินยาวหลายจั้งเส้นหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพุ่งเร็วรี่มาหาเขาตรงนี้ รุ้งสีเงินรวดเร็วอย่างที่สุดพาเสียงหวีดแหลมฉีกกระชากอากาศมาด้วย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งมันก็เหาะมาหยุดอยู่ห่างจากจินเทียนชื่อร้อยจั้ง จากนั้นลำแสงก็กะพริบเผยให้เห็นบุรุษกำยำผู้มีหัวเป็นพยัคฆ์ร่างกายสูงสองจั้งที่เปลือยท่อนบนผู้หนึ่ง เขาก็คือหู่ฉางยอดฝีมือเผ่าพยัคฆ์เงินที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับจี๋อิ่งก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ท่านไล่ตามข้าไม่ลดละนานถึงสองวันเช่นนี้ ตอนนี้ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว จะบอกสาเหตุที่แท้จริงได้หรือไม่” จินเทียนชื่อจับจ้องคนผู้นี้แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เจ้าเป็นคนฉลาด ไยรู้อยู่แล้วแต่แสร้งถาม ข้าไม่เชื่อหรอกว่าด้วยการตอบสนองระหว่างพลังแห่งดวงดาว จนถึงตอนนี้เจ้าจะยังสัมผัสสิ่งใดไม่ได้เลย” หู่ฉางหัวเราะเหี้ยมเกรียมแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านคงจะเป็นตระกูลเผ่าพยัคฆ์นภาในยุคโบราณ ตอนนี้ดูท่าคงตัดสินใจแน่วแน่คิดจะกลืนกินข้าเพื่อสำเร็จร่างพลังเวทแห่งฟ้าดินในเศษซากโลกบนแห่งนี้สินะ! แต่ท่านมั่นใจปานนั้นจริงหรือว่าจะรั้งข้าไว้ได้?” จินเทียนชื่อสีหน้าไม่เปลี่ยนไปสักนิดราวกับว่ากำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ฮ่าๆ พลาดจากเจ้าไป ข้าจะไปหาคนที่ฝึกฝนพลังแห่งดวงดาวได้จนถึงขั้นนี้ได้จากที่ไหนอีก! ส่วนเรื่องการสังหารเจ้า ไม่ต้องกังวลไป เจ้าจงจากไปอย่างวางใจเถอะ!” หู่ฉางหัวเราะลั่นเอ่ยขึ้น
สายเลือดเผ่าพยัคฆ์นภาโบราณที่เขาครอบครองอยู่กลืนกินพลังแห่งดวงดาวเป็นพื้นฐานของการฝึกฝน แต่บนแผ่นดินหมานฮวงผู้ที่ฝึกฝนพลังแห่งดวงดาวมีน้อยนิดไม่กี่คน นี่ทำให้เขาติดอยู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายมานานถึงหนึ่งร้อยปีเต็มไม่อาจเลื่อนระดับได้มาตลอด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา