“เจ้าคือหลิ่วหมิงหรือ?” แสงสีน้ำเงินส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่งข้างตัวผู้เฒ่า ทันใดนั้นบัณฑิตหนุ่มท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่งก็ปรากฏร่าง เขามองหลิ่วหมิงแล้วหลุดปากเอ่ยขึ้น
“อะไรนะ เขาคือหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้ครองอันดับหนึ่งของงานประตูกสวรรค์หรือ?” ผู้เฒ่าคิ้วตกได้ยินก็ตกตะลึงเป็นอย่างแรก แต่จากนั้นในดวงตาก็มีความยินดีที่ยากจะสังเกตพาดผ่าน
“ทั้งสองท่านคงจะเป็นสหายจากสำนักเฮ่าหรานสินะ ข้าจับพลัดจับผลูเข้ามายังที่แห่งนี้ ไม่ทราบว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น แล้วพันธมิตรเผ่ามนุษย์คือสิ่งใด?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ประสานมือเอ่ยกับทั้งสองคน
“อ้อ? สหายไม่ใช่ได้รับข่าวจึงเดินทางมาที่นี่หรอกหรือ?” ผู้เฒ่าคิ้วตกค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง
“ไม่นานมานี้ข้าพบยอดฝีมือเผ่าปีศาจตนหนึ่งหลังจากนั้นก็ถูกเขาไล่ล่าสังหารมาจนมาถึงที่แห่งนี้ ไม่ทราบเรื่องราวที่นี่จริงๆ” หลิ่วหมิงตอบกึ่งจริงกึ่งลวง
“เป็นเช่นนี้เอง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับการร่วมมือเป็นพันธมิตรนี่ให้ฟังสักหน่อยก็แล้วกัน สาเหตุเกิดจากซากโบราณสถานแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในหุบเขาชันแห่งนี้ ว่ากันว่าในนั้นซ่อนสมบัติแห่งฟ้าดินไว้ไม่น้อย พวกเราปะทะกับผู้ฝึกฝนปีศาจแห่งหมานฮวงเหล่านั้นอีกฟากมานานสิบกว่าวันแล้ว อีกฝ่ายมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคน ส่วนพวกเรามีเพียงศิษย์พี่ซุนประคับประคองสถานการณ์อยู่คนเดียว ดังนั้นจึงถูกอีกฝ่ายกดดันอยู่ทุกด้าน วันนี้ทำได้เพียงฝืนยื้อพวกเขาไว้ที่นี่ พร้อมกันนั้นก็ส่งข่าว รอคอยสหายคนอื่นใกล้ๆ เดินทางมาช่วยเหลือ” บัณฑิตหนุ่มอธิบายกับหลิ่วหมิงอย่างช้าๆ
เมื่อได้ยินว่าเผ่าปีศาจมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตนอยู่ที่นี่ ในใจหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ขมวดคิ้วแน่น ดูท่าการคาดเดาของตนจะไม่ผิด คิดจะคว้าสมุนไพรจิตวิญญาณที่ยืดอายุขัยได้ต้นนี้มาไม่ใช่เรื่องง่าย
“สหายหลิ่วมาถึงที่นี่แล้ว ไม่สู้ลองคิดดูเรื่องเข้าร่วมพันธมิตรของพวกเราสักหน่อย สู้กับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านี้ก่อน หากโจมตีอีกฝ่ายถอยไปได้แล้ว เมื่อพวกเราเข้าไปในซากโบราณสถาน แต่ละคนย่อมได้ลาภไม่น้อย” ผู้เฒ่าคิ้วตกฉับพลันฉีกยิ้มเอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ในใจครุ่นคิดเร็วไววิเคราะห์ผลดีผลเสียของการเข้าร่วมพันธมิตร
หากไม่เข้าร่วมแล้วไปค้นหาสมบัติด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่จะถูกคนของเผ่าปีศาจไล่ล่าสังหาร ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้ก็คงไม่นิ่งเฉย นอกจากนี้เผ่าปีศาจมียอดฝีมือระดับแก่นแท้สองคนคุมอยู่ หากพลังเหมือนจี๋อิ่ง ต่อให้ใช้วิชาของตนออกมาจนหมดจัดการได้สักตนก็ฝืนแล้ว สองตนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีเผ่าปีศาจตนอื่นช่วยเหลืออีก
“ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่เหมือนกัน เรื่องที่เกี่ยวพันกับสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์เช่นนี้ ผู้แซ่หลิ่วคงไม่สะดวกหันหน้าหนีจริงๆ” หลิ่วหมิงอ้าปากตอบรับ
“ดียิ่งนัก มีสหายหลิ่วเข้าร่วม พวกเราย่อมมีโอกาสชนะเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน!” บัณฑิตผู้นั้นของสำนักเฮ่าหรานเห็นหลิ่วหมิงตกลงเข้าร่วมก็ดีใจทันที ผู้เฒ่าคิ้วตกข้างกายเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเช่นกัน
“ทั้งสองท่านชมเกินไปแล้ว มีสหายอยู่ที่นี่มากมายเช่นนี้ ข้าก็เป็นเพียงคนไม่สำคัญเท่านั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างเกรงใจ
“คำพูดนี้ของสหายหลิ่วผิดแล้ว แม้ข้าอายุปูนนี้แต่พูดถึงพลังก็ธรรมดา ไหนเลยจะเทียบเคียงกับสหายได้! ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกส่งมารับผิดชอบลาดตระเวนบริเวณใกล้ๆ เท่านั้น สหายหลิ่วมาได้ถูกเวลาจริงๆ ยามนี้ศิษย์พี่ซุนกำลังหารือมาตรการรับมือกับคนอื่นอยู่ที่ฐาน หากทราบว่าสหายเข้าร่วมด้วยจะต้องดีใจอย่างยิ่งแน่นอน” ผู้เฒ่าคิ้วตกโบกมือพลางเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง พวกศิษย์พี่ซุนอยู่ด้านหน้านี่เอง พวกเรารีบไปกันเถิด” บัณฑิตหนุ่มเอ่ยต่อจากผู้เฒ่า
เมื่อเห็นหลิ่วหมิงพยักหน้าผู้เฒ่าคิ้วตกก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือ เมฆสีเหลืองก้อนยักษ์ยกทั้งสามคนลอยขึ้นแล้วกลายเป็นแสงสีเหลืองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป พร้อมกับที่ปล่อยยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งพุ่งผ่านท้องฟ้า
“เมื่อครู่รีบร้อนอยู่บ้างจึงลืมถามชื่อเสียงเรียงนามของทั้งสองท่าน” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็นึกบางสิ่งออกจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าหวงอวิน คนนี้คือศิษย์น้องของข้าหลินผิง” ผู้เฒ่าคิ้วตกตอบ
“อ้อแล้วศิษย์พี่ซุนที่พวกท่านทั้งสองเอ่ยถึง คงจะเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นของสำนักท่านสินะ พอจะบอกสถานการณ์อย่างละเอียดของที่นี่ว่าเป็นอย่างไรสักหน่อยได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามขึ้น
ในสี่ยอดนิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์บนแผ่นดินจงเทียน เมื่อเทียบกับสามนิกายอื่น สำนักเฮ่าหรานชื่นชอบยุ่งเกี่ยวกับสังคมที่สุด ทุกครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่ในโลกของผู้ฝึกฝนหรือโลกมนุษย์ สำนักเฮ่าหรานมักจะเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปร่วมเสมอ
นานวันเข้าในยามที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กับผู้ฝึกฝนต่างเผ่าขัดแย้งกัน และไม่ใช่การแข่งขันกับผู้ฝึกฝนสามนิกายใหญ่ที่เหลือ คนของสำนักเฮ่าหรานล้วนกลายเป็นผู้นำที่ทุกคนคอยตามอยู่เป็นปกติ
“สหายพูดไม่ผิด ศิษย์พี่ซุนเป็นหนึ่งในผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้ของนิกายเราจริงๆ แม้พลังเพียงระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แต่หากพูดถึงกลยุทธ์กลับไม่มีใครเทียบได้ มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์สำนักเราที่เข้ามาในเศษซากโลกบน ครั้งนี้ก็เป็นศิษย์พี่ซุนที่นำศิษย์สำนักเรามาค้นพบที่แห่งนี้ก่อน ตอนพวกเราพบซากโบราณสถานที่นี่ มันก็ถูกยอดฝีมือเผ่าปีศาจสามตนยึดครองไว้แล้ว หนึ่งตนในนั้นพลังระดับแก่นแท้ ทว่าเผ่าปีศาจเหล่านี้ไม่รีบร้อนทำลายชั้นจำกัดของโบราณสถาน แต่ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่าพวกมันกำลังรอสิ่งใดอยู่ หลังจากนั้นพวกมันก็ปะทะกับพวกเรา เริ่มแรกพวกเราอาศัยจำนวนคนที่ได้เปรียบผนวกกับศิษย์พี่ซุนชำนาญวิชาค่ายกลกับชั้นจำกัด พวกเราจึงเหนือกว่าอยู่เล็กน้อย ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจไม่น้อยก็เหมือนจะทยอยมารวมตัวกันราวกับนัดกันไว้ก่อนแล้ว พริบตาเดียวก็มีปีศาจเพิ่มขึ้นสิบกว่าตน อีกทั้งในหมู่พวกมันยังมีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้เพิ่มมาอีกตนหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้ศิษย์พี่ซุนจึงนำพวกเราหลบมาที่นี่ชั่วคราวแล้วส่งข่าวไปหาผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์บริเวณใกล้เคียงให้มารวมกันต้านศัตรู แม้หลายวันนี้จะหาผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ไม่ได้ แต่ก็รวบรวมยอดฝีมือที่พลังไม่ธรรมดามาได้สิบกว่าคน ดังนั้นจึงต้านทานเผ่าปีศาจเหล่านี้ไว้ได้อย่างหวุดหวิดจนถึงตอนนี้” บัณฑิตหนุ่มนามว่าหลินผิงผู้นี้ไม่มีเจตนาจะปิดบังสักนิด เขาเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมารอบหนึ่งทันที
หลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้ว แม้สีหน้าบนใบหน้าจะเหมือนปกติ แต่ในใจกลับคาดเดาได้อยู่บ้างว่าเหตุใดเผ่าปีศาจจึงชักช้าไม่เข้าไปในซากโบราณสถานสักที
วันนั้นเพราะจี๋อิ่งกับหู่ฉางยอดฝีมือจากเผ่าพยัคฆ์เงินตนนั้นหมายตาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณในร่างอสูรโบราณตัวนั้นจึงไม่ได้เดินทางตรงมาที่นี่ทันที มิเช่นนั้นหากมีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้สี่คน ต่อให้ศิษย์พี่แซ่ซุนผู้นี้จะกลยุทธิ์สูงส่งอีกเท่าใดก็เกรงว่าคงไม่อาจรับมือได้
ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งสามคนก็ทะลุผ่านหุบเขาชันมาจนถึงตีนเขาหิมะขนาดยักษ์ที่อยู่ลึกเข้ามาในหุบเขา
“สหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ เข้ามาสิ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา