ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 959

สรุปบท ตอนที่ 959 วิชาโล่โลหิต: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 959 วิชาโล่โลหิต จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 959 วิชาโล่โลหิต คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

หลังจากหลิ่วหมิงสัมผัสได้ว่าในทะเลจิตรับรู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจิต เขาก็ลุกขึ้นนั่ง พลังเวทโหมขึ้นมาครั้งหนึ่งกระพือฝุ่นผงที่ติดบนเสื้อผ้าออก จากนั้นเขาก็นวดหว่างคิ้วที่ยังปวดอยู่นิดหน่อย

เขาพักผ่อนครู่หนึ่งก็สะบัดมือ วงแหวนกลมสีแดงเพลิงวงหนึ่งกับธงคำสั่งสีฟ้าใสผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา

นับตั้งแต่นำต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้นนี้ออกมาจากในท้องอสูรยักษ์จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยได้ตรวจดูดีๆ เลย หลังจากนี้เศษซากแห่งโลกบนคงจะอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เพิ่มพลังได้แม้เพียงเล็กน้อยก็จำเป็นอย่างยิ่ง

ของสองชิ้นนี้กับกระบี่ขู่หลุนล้วนเป็นของที่ใช้คุมค่ายกลไหมครามจตุรทิศ น่าจะเป็นอาวุธระดับเดียวกัน แต่เห็นชัดว่าพวกมันไม่ถนัดมืออย่างกระบี่ขู่หลุนนัก

แต่หากทำพันธะอย่างง่ายไว้ ยามพบศัตรูแข็งแกร่งปล่อยออกมาป้องกันสักครั้งก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้วสายตาก็จับจ้องบนวงแหวนกลมสีแดงเหลิง เขาอ้าปากพ่นแสงสีดำสายหนึ่งสิบนิ้วขยับดีดไม่หยุด เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาต่อเนื่อง แสงสีดำสายแล้วสายเล่าวนล้อมวงแหวนกลมแล้วค่อยๆ ผูกพันธะอย่างช้าๆ

วงแหวนกลมสีแดงเพลิงฉับพลันเปล่งแสงสีแดงแสบตาออกมา มันหมุนติ้วก่อนจะหยุดนิ่งแล้วปรากฏลวดลายสีแดงสามสิบหกชั้นพร้อมกับส่งเสียงวิ้งดังสนั่น

เขาผูกพันธะกับวงแหวนสีแดงเพลิงไปพลางก็ยกมืออีกข้างขึ้น นิ้วมืองอแล้วดีดใส่ธงคำสั่งฟ้าใสอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับที่อ้าปากพ่นแสงสีดำอีกสายยกธงคำสั่งสีฟ้าใสให้ลอยขึ้นมา

ช่วงเวลาต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็ใช้ความสามารถในการแบ่งสมาธิทำสองสิ่ง แบ่งพลังจิตแยกเป็นสองส่วนห่อหุ้มต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้นไว้

พลังจิตในตอนนี้ของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหันไม่น้อยจึงได้อาศัยโอกาสนี้ฝึกปรือพอดี

……

หลายวันหลังจากนั้นเหนือเทือกเขาทอดยาวร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง เรือหยกสีขาวลำหนึ่งแหวกผ่านท้องฟ้าไป หลิ่วหมิงอาศัยช่วงที่อยู่บนเรือศึกษาคัมภีร์เจินหลิงในมืออย่างละเอียด พร้อมกับที่แผ่จิตสัมผัสขนาดมโหฬารไปหลายร้อยลี้รอบด้าน สังเกตสภาพรอบด้านอยู่ตลอดเวลา

สองวันก่อนเขาทำพันธะกับต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้นนั้นได้บางส่วนแล้ว เขาจึงเริ่มออกเดินทางไปยังซากโบราณสถานที่หลานซือบอกอย่างไม่หยุดแวะพัก

แม้เขาเคยคิดจะไปรวมตัวกับพวกจินเทียนชื่อก่อนแล้วค่อยวางแผน แต่ประการแรกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้จินเทียนชื่ออยู่ที่ใด ส่วนพวกฉิวหลงจื่อก็อยู่ห่างจากตนไกลเกินไปหน่อย ไปกลับรอบหนึ่งสมบัติลับก็คงถูกคนแย่งชิงไปก่อนแล้ว

การเดินทางราบรื่นตลอดทาง เขาจึงใคร่ครวญเกี่ยวกับวิชาลับโล่โลหิตในคัมภีร์เจินหลิงอย่างเงียบๆ อยู่บนเรือเหาะ

วิชานี้จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกฝนดึงโลหิตบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งในร่างตนออกมาหลอมทุกวัน หลังจากนั้นสะสมโลหิตบริสุทธิ์ที่ถูกหลอมจนเข้มข้นไว้เป็นแกนโล่เฉพาะตัวที่ปกติจะซ่อนเร้นอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ

เมื่อใช้มันยามเผชิญศัตรู มันจะก่อตัวเป็นโล่โลหิตที่แฝงพลังยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งในพริบตา ไม่เพียงใช้มันปกป้องตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังดูดซับพลังของโลหิตบริสุทธิ์ด้านในตัวมันมารักษาอาการบาดเจ็บจำนวนหนึ่งในเวลาอันสั้นในยามที่ร่างกายตนบาดเจ็บหนักได้อีกด้วย มีประโยชน์อย่างยิ่ง

วิชาลับนี้ดูคล้ายวิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณของผู้อาวุโสขุยมู่ แล้วก็คล้ายคลึงกับวิชาสาปคืนกำเนิดของเวินเจิง แต่เนื่องจากการเติมโลหิตบริสุทธิ์ของตนไม่ใช่สิ่งที่จะถูกร่างกายตนต่อต้าน จึงแทบไม่มีผลร้ายอันใดตามหลัง แน่นอนความสามารถในการรักษาตัวก็ย่อมด้อยกว่าสองอย่างแรกอยู่มาก

ส่วนพลังของโล่โลหิตจะสำแดงออกมาได้จริงเท่าไร ส่วนสำคัญย่อมขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโลหิตบริสุทธิ์ของตัวผู้ฝึกฝนเองกับปริมาณโลหิตบริสุทธิ์ที่ผสานเข้าไป

จากที่คัมภีร์บอกไว้ปริมาณโลหิตบริสุทธิ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการหลอมครั้งแรกมากกว่าหลายครั้งหลังๆ อยู่บ้าง แต่หากผู้ฝึกฝนไม่คำนึงถึงร่างกายตน ฝืนดึงโลหิตบริสุทธิ์ออกมามากเกินไปก็อาจทำให้ลมปราณเสียหายหนักเกินไปได้ ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนวิชานี้ยามเริ่มต้นจึงค่อนข้างลำบาก แต่ช่วงหลังจะง่ายขึ้นมาก

หากเป็นผู้ที่มีร่างเนื้อแข็งแกร่ง จำนวนโลหิตบริสุทธิ์ที่ดึงออกมาได้ในแต่ละวันย่อมค่อนข้างมาก หากเพียรฝึกฝน ใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็หลอมโล่โลหิตอย่างง่ายออกมาได้แล้ว

นอกจากนี้แกนโล่ที่ซ่อนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณจะสะสมโลหิตบริสุทธิ์ได้ไม่มากไปกว่าห้าสิบในร้อยของร่างต้นผู้ใช้วิชา จากการคำนวณของหลิ่วหมิงด้วยสภาพกายเนื้อของตน โล่โลหิตขั้นสมบูรณ์คงพอขวางการโจมตีเต็มกำลังของระดับแก่นแท้ขั้นปลายให้เขาถอยหนีอย่างราบรื่นได้

หากวันหน้าพลังสูงขึ้น กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้น โล่โลหิตที่ก่อตัวขึ้นก็อาจขวางได้กระทั่งการโจมตีของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์

หลังจากหลิ่วหมิงศึกษาอย่างละเอียดหลายชั่วยามก็เก็บคัมภีร์หนังอสูรไป จากนั้นเดินมานั่งขัดสมาธิกลางเรือเหาะ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ลูกแก้วเจินหลิงสี่ลูกพลันลอยออกมาก่อตัวเป็นเขตแดนสีเทา ล้อมเรือเหาะหยกจันทราทั้งลำเข้าไปด้านใน

เมื่อเตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้วเขาก็เอากระบี่น้อยเล่มหนึ่งออกมากรีดแผลแคบยาวเส้นหนึ่งกลางฝ่ามือ แล้วเคลื่อนพลังจิตวิญญาณทั่วร่างเค้นโลหิตบริสุทธิ์สีแดงคล้ำหยดแล้วหยดเล่าออกมาจากบาดแผล

หลังผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ โลหิตบริสุทธิ์ก็ออกมามากเกือบครึ่งชามแล้วก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสีเลือดใหญ่หนึ่งชุ่นลูกหนึ่งกลางอากาศภายใต้การควบคุมจากพลังเวทของเขา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตามที่คัมภีร์บอก เขายกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าใส่โลหิตบริสุทธิ์ก้อนนี้ โลหิตบริสุทธิ์หมุนติ้วกลางอากาศ เคล็ดวิชาหลายสายจมเข้าไปขณะที่มันค่อยๆ จับตัวกลายเป็นลูกแก้วกลมสีเลือดที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือลูกหนึ่ง

ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงก็ท่องเคล็ดวิชาประหลาดงึมงำออกมาหลายประโยค เมื่อเขาอ้าปากอีกครั้งแสงสีเลือดสายหนึ่งก็พุ่งออกมาสูดลูกแก้วกลมสีเลือดเข้าปากดังฟึบแล้วกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายร้อนวูบแต่ไม่มีความรู้สึกผิดแปลกอย่างอื่นอีก

ทว่าเมื่อเขาใช้จิตสัมผัสกวาดทั่วร่าง เขาก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าลูกแก้วกลมสีเลือดขนาดเท่าหัวแม่มือเม็ดนั้นกำลังนอนนิ่งอยู่ในทะเลจิตวิญญาณพร้อมกับหมุนตัวอย่างเชื่องช้า

บนลูกแก้วกลม แสงสีเลือดสายแล้วสายเล่าวนเวียนราวกับหมอกสีเลือดขนาดเล็กกลุ่มหนึ่ง มันแผ่ขยายและหดตัวตามการหมุนของลูกแก้วสีเลือด

วันนี้ในที่สุดเรือเหาะของหลิ่วหมิงก็มาถึงผืนนภาเหนือแผ่นดินสีขาวไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้ก็คือสถานที่อันห่างไกลที่แผนที่ทำเครื่องหมายไว้ มันน่าจะร้างไร้คนถึงจะถูก ทว่าตลอดทางเขากลับพบการต่อสู้รุนแรงหลายครั้ง ผู้ที่ต่อสู้อยู่มีทั้งเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์

ดูท่ากระดาษจะห่อไฟไม่มิด เรื่องที่ผืนดินน้ำแข็งแห่งนี้ซ่อนสมบัติไว้คงจะถูกผู้คนมากมายล่วงรู้แล้ว

หลิ่วหมิงหนีห่างจากการต่อสู้ที่พบระหว่างทางเหล่านี้อย่างไม่สนใจ เขามุ่งแต่เร่งเดินทางเท่านั้น

แต่ในใจเขาก็ยังมีความสงสัยอยู่เสี้ยวหนึ่ง เพราะสองฝั่งที่พบในการต่อสู้ตลอดทางไม่ใช่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์จากแผ่นดินจงเทียนก็เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจากแผ่นดินหมานฮวง ไม่ปรากฏวี่แววของมนุษย์ปีศาจหรือพวกต่างเผ่าอื่นเลย

เมื่อเรือเหาะที่หลิ่วหมิงโดยสารเหาะไปด้านหน้าไม่หยุด แผ่นดินหิมะที่เดิมทีราบเรียบเบื้องล่างก็ค่อยๆ สูงชัน ทอดสายตามองไปเริ่มเห็นภูเขาหิมะสูงตระหง่านตั้งเด่นอยู่ลูกแล้วลูกเล่า

เขาแผ่จิตสัมผัสไปด้านหน้าอย่างเร็วไวและพบว่าห่างออกไปร้อยลี้เบื้องหน้ามีภูเขาหิมะยักษ์สูงนับหมื่นจั้งอยู่ลูกหนึ่ง คลื่นพลังเวทที่ผสมปนเปกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากบริเวณใกล้ๆ อยู่เลือนราง

หลังจากเขาเหาะเข้าไปใกล้อีกหน่อย เขาก็พบว่าเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจจำนวนมากกำลังยึดครองสองฟากฝั่งของเขาหิมะเอาไว้ เผ่ามนุษย์อยู่ที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนเผ่าปีศาจครองมุมตะวันตกเฉียงเหนือ

หลิ่วหมิงเก็บเรือเหาะหยกจันทราอย่างฉับไว จากนั้นเท้าก็เหยียบเมฆดำหยุดอยู่กลางท้องฟ้าพักหนึ่งก่อนจะกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปยังทิศที่เผ่ามนุษย์อยู่

ขณะที่เขาเหาะพรวดเดียวผ่านระยะทางสิบกว่าลี้ กำลังจะพุ่งผ่านท้องฟ้าที่ดูเหมือนธรรมดาแห่งหนึ่งนั่นเอง ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็เกิดคลื่นไหวกระเพื่อมราวกับผิวน้ำ

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าพร่ามัว เมื่อได้สติคืนมาเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในหุบเขาสูงชันสีเขียวขจีอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง

สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ก็คือบนเขาสองฝั่งมีเพียงส่วนยอดเขาเท่านั้นที่มีหิมะขาวโพลนทับถมอยู่ ทว่าภายในหุบเขาล้วนเต็มไปด้วยสีเขียว ต้นไม้ใบหญ้างอกงามราวกับแดนสวรรค์ที่หลบเร้นจากโลกภายนอก

ในตอนนี้เองลำแสงสีเหลืองกับสีน้ำเงินสองสายก็พุ่งออกมาจากในหุบเขา มุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหยุดลำแสงทันที

“ผู้มาเยือนคือผู้ใด? กล้าล่วงล้ำพันธมิตรเผ่ามนุษย์!” ท่ามกลางหมอกเมฆสีเหลือง ผู้เฒ่าหางคิ้วตกที่สวมเสื้อผ้าของศิษย์สำนักเฮ่าหรานตวาดถามเสียงดัง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา