หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเก็บมุกผลึกมารเข้าไปในแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ปากถ้ำทันที
แม้ถ้ำที่พักชั่วคราวแห่งนี้จะวางค่ายกลอำพรางไว้เพียงชุดเดียวยากจะปิดบังผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่หลอกผู้ฝึกฝนระดับผลึกยังเหลือเฟือ ก็ไม่รู้ว่าศิษย์ตระกูลคนนี้ใช้วิชาลับอันใดจึงตามหาที่นี่พบ
ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายมาแล้ว ลองดูก่อนว่าอีกฝ่ายมีเจตนาใดแล้วค่อยว่ากัน
เขาเพิ่งเหยียบออกจากถ้ำที่พักชั่วคราวก็เห็นชายหนุ่มชุดเขียวท่าทางสง่างามคนหนึ่งรออยู่ด้านนอกปากถ้ำ
“ข้าบุ่มบ่ามมาเยี่ยมเยือน ขอพี่หลิ่วอย่าได้ถือโทษ” เห็นหลิ่วหมิงออกมาต้อนรับ ชายหนุ่มแซ่หลี่ก็ประสานมือเอ่ยอย่างนอบน้อม
“สหายเกรงใจแล้ว ในเมื่อมาถึงหน้าประตูแล้วก็เชิญเข้ามาคุยกันเถิด” หลิ่วหมิงทักทายด้วยสีหน้าเป็นปกติ
หลังจากทั้งสองคนเอ่ยถ้อยคำเกรงอกเกรงใจกันสั้นๆ พวกเขาก็ก้าวเข้ามาในถ้ำที่พักชั่วคราวของหลิ่วหมิง
ไม่นานหลิ่วหมิงกับชายหนุ่มแซ่หลี่ก็นั่งประจันหน้าสองฝั่งของโต๊ะหินเรียบง่ายตัวหนึ่งในถ้ำ
“พี่หลี่มาพอดี ข้ายังมีเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มนี้อยู่บ้าง พอดีได้ขอคำชี้แนะสักเล็กน้อย” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเอ่ยเหตุผลที่มาเยือนครั้งนี้ หลิ่วหมิงก็ชิงเอ่ยปากก่อน
“หากพี่หลิ่วต้องการทราบเรื่องของเผ่าปีศาจเหล่านั้น เช่นนั้นก็ถามถูกคนแล้ว ข้าเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้ด้วยกันกับสำนักเฮ่าหราน ดังนั้นเดินทางมาที่นี่จึงได้รับข่าวตั้งแต่แรกแล้ว พวกเราพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าอินทรีทะลวงหลายตนก่อน ต่อมาก็มีเผ่าปีศาจหมีเถื่อนปรากฏตัวขึ้นอีก” ชายหนุ่มแซ่หลี่บอกกับหลิ่วหมิงโดยไม่หยุดคิด
สิ่งที่ชายหนุ่มแซ่หลี่คนนี้บอกคล้ายกับสิ่งที่ผู้เฒ่าแซ่หวงบอกอยู่มาก
“เผ่าอินทรีทะลวง เผ่าหมีเถื่อน? ถ้าเช่นนั้นพวกท่านรู้ไหมว่าแท้จริงแล้วในซากโบราณสถานแห่งนี้มีสมบัติอันใด?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็เอ่ยถามต่อ
“เรื่องนี้ไม่ค่อยรู้ชัดนัก รู้แต่ว่าพวกพี่ซุนทราบว่าที่นี่มีซากโบราณสถานแห่งหนึ่งหลังจับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจตนหนึ่งได้ แต่ไม่ทราบอย่างละเอียดว่าคือสิ่งใด ทว่าในเมื่อผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้นให้ความสำคัญเช่นนี้คงไม่ใช่สมบัติล้ำค่าธรรมดาแน่นอน” ชายหนุ่มแซ่หลี่ไม่มีทีท่าจะปิดบังสักนิด
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพี่หลี่มาครั้งนี้ด้วยเรื่องอันใด?” หลิ่วหมิงพยักหน้า หลังจากนั้นก็ถามเปลี่ยนประเด็นทันที
“เรื่องเป็นเช่นนี้ นับแต่ผู้แซ่หลี่เข้ามาในเศษซากโลกบนจนถึงวันนี้ได้รับการดูแลจากสำนักเฮ่าหรานมาตลอดทาง สมบัติน้อยใหญ่ที่ได้รับแบ่งมาแม้ไม่นับว่ามากแต่ก็ไม่น้อย ทว่าที่ข้าทำให้ตระกูลยอมเสียทรัพยากรจำนวนมากแลกสิทธิการเข้าเศษซากโลกบนมาให้ได้ก็เพราะตระกูลหลี่ได้รับเงื่อนงำซากโบราณสถานสองแห่งในเศษซากโลกบนมา ข้าจึงจำต้องเดินทางไปสำรวจสักครั้ง เดิมทีข้าคิดว่าจะเดินทางไปเพียงลำพัง แต่วันนี้พบว่าที่แห่งนี้อันตรายอย่างยิ่งแล้วยังมียอดฝีมือต่างเผ่าจากแผ่นดินอื่นมากมายปรากฏตัวอยู่บ่อยๆ ลำพังคนเดียวเดินทางสักครึ่งก้าวก็ยังยาก” ชายหนุ่มแซ่หลี่พูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“จุดนี้ผู้แซ่หลิ่วก็สัมผัสมากับตัวเองอย่างลึกซึ้ง” นึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ถูกมนุษย์ปีศาจคุมตัว รวมถึงประสบการณ์ยามถูกจี๋อิ่งไล่ล่าสังหาร หลิ่วหมิงก็พยักหน้าอย่างปลงสังเวชเช่นกัน
“ที่จริงในตอนแรกข้าคิดจะบอกตำแหน่งของซากโบราณสถานสองแห่งนี้กับสำนักเฮ่าหรานแล้วไปค้นหาสมบัติด้วยกัน ทว่าต่อมาได้ยินพวกเขาพูดเหมือนกับว่าแผนการเดินทางหลังจากนี้มีเส้นทางอื่นที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว ข้าจึงไม่สะดวกเอ่ยปาก ดังนั้นจึงคิดเชิญสหายคนอื่นเดินทางไปด้วยกัน”
“อ้อ สหายคิดจะเชิญข้าร่วมทางไปสำรวจด้วยกันงั้นหรือ?” หลังจากหลิ่วหมิงงุนงงไปเล็กน้อยก็เอ่ยถาม
“ไม่ผิด ผู้แซ่หลี่กำลังคิดเช่นนี้ เดิมทีข้ามีตัวเลือกอื่นอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้ได้พบสหายหลิ่วแล้ว พลังของสหายที่สู้กับระดับแก่นแท้ได้ย่อมเหมาะสมที่สุด” ชายหนุ่มยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากหลิ่วหมิงฟังจบก็ครุ่นคิดจนทะลุปรุโปร่ง ครู่หนึ่งให้หลังจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อเกี่ยวพันถึงสมบัติในซากโบราณสถานแห่งอื่น ทั้งสหายหลี่ก็ไม่เคยคบหากับผู้แซ่หลิ่วมาก่อน วางใจข้าเช่นนี้ได้จริงหรือ?”
“พี่หลิ่วเป็นศิษย์ระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ข้าย่อมเชื่อถือ หากพี่หลิ่วยินดี พวกเราแลกกันวางชั้นจำกัดใส่อีกฝ่ายหรือทำพันธสัญญาเลือดก็ได้ แค่นั้นก็ย่อมไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลแล้ว” ในดวงตาชายหนุ่มแซ่หลี่ทอประกายวาววับแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แล้วพี่หลี่เชิญใครอีกบ้าง?” หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบรับอะไร แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปถามเรื่องอื่น
“ไม่ปิดบังพี่หลิ่ว ข้านัดสหายเยี่ยจากนิกายปีศาจลี้ลับว่าจะเดินทางไปด้วยกัน แต่วันนี้เขาคล้ายมีธุระบางอย่างจึงไม่อาจมาเยี่ยมเยียนพี่หลิ่วด้วยกันกับข้าด้วยได้ ข้ารับประกันได้ว่าเพิ่มพี่หลิ่วไปแล้วจะไม่เชิญผู้ฝึกฝนคนอื่นอีก อย่างไรคนมากเกินไปเมื่อสมบัติมาอยู่ในมือก็แบ่งสรรปันส่วนไม่สะดวกนัก เพื่อแสดงความจริงใจ ตรงนี้มีคัมภีร์หยกอยู่เล่มหนึ่ง ในคัมภีร์หยกบันทึกสถานที่หนึ่งที่จะไปไว้ ข้ามอบให้พี่หลิ่วอ่าน รอเสร็จธุระที่นี่แล้ว พี่หลิ่วค่อยตัดสินใจว่าจะร่วมเดินทางไปกับพวกเราสองคนหรือไม่” ชายหนุ่มแซ่หลี่ได้ยินก็ล้วงคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วโยนให้หลิ่วหมิงทันที
“ในเมื่อสหายหลี่เชื่อถือข้าเช่นนี้ ถึงเวลาข้าจะให้คำตอบแน่นอน”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่เกรงใจยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก คัมภีร์หยกหมุนติ้วรอบหนึ่งก็ร่วงลงในมือเขานิ่งๆ
“ฮ่าๆ หวังว่าถึงเวลาจะได้ฟังข่าวดีจากพี่หลิ่ว ฟ้ามืดแล้ว สองวันให้หลังยังมีศึกอันเลวร้ายรออยู่ ผู้แซ่หลี่ไม่รบกวนพี่หลิ่วทำสมาธิแล้ว” ชายหนุ่มแซ่หลี่เป็นคนรู้จักกาลเทศะ เมื่อเห็นหลิ่วหมิงรับคัมภีร์หยกไปก็ลุกขึ้นขอตัวจากไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา