หลังจากหลิ่วหมิงรับยันต์กับป้ายหยกมาก็ถือขึ้นตรงหน้าเพื่อสำรวจอย่างละเอียด
ป้ายหยกที่ใหญ่หนึ่งชุ่นกว่าชิ้นนี้แวววาวอย่างยิ่ง มันทอประกายเรืองๆ มองเห็นผลึกสีขาวเส้นเรียวเล็กเคลื่อนไหวอยู่ในป้ายหยกไม่หยุด ดูค่อนข้างลี้ลับ
เขาเพ่งสมาธิกรอกพลังเวทเล็กน้อยเข้าไปด้านในทันที ทันใดนั้นก็เห็นเส้นไหมแวววาวเรียวเล็กยากแยกแยะด้วยตาเปล่าสายแล้วสายเล่าลอยออกมาจากบนผิวป้ายหยกแล้วลอยล่องอยู่กลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันนี้ป้ายหยกก็ค่อยๆ ละลาย
หลิ่วหมิงหยุดพลังเวททันที ทันใดนั้นเส้นไหมแวววาวเหล่านี้ก็บินพุ่งกลับมาอย่างเงียบเชียบ ป้ายหยกพริบตาเดียวก่อตัวกลับมาเป็นสภาพเดิมใหม่อีกครั้ง
ผู้คนที่นั่นเวลานี้ต่างทยอยตรวจสอบเล็กน้อย ส่วนใหญ่แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจ
“ตอนที่ข้าหลอมป้ายหยกนี่ด้วยมือตนเอง ข้าได้ใส่ชั้นจำกัดพิเศษอีกชนิดหนึ่งไว้ด้วย หลังจากที่กระตุ้นมันไประยะหนึ่ง หากสัมผัสปราณปีศาจใกล้ๆ ไม่ได้ มันก็จะรวมตัวกลับเป็นรูปร่างป้ายหยกใหม่อีกครั้ง” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนอธิบายกับทุกคน
“สหายซุนชำนาญชั้นจำกัดจริงๆ เช่นนี้พวกเราก็วางใจแล้ว อีกเรื่องหนึ่งข้ากังวลว่าคนของเผ่าปีศาจจะส่งคนมาเฝ้าทางเข้าซากโบราณสถานไว้ ตอนสหายใช้ร่างแยกวางค่ายกลต้องระวังด้วย” หลังจากชายหนุ่มแซ่หลี่เก็บของทั้งสองสิ่งไปก็เอ่ยเตือน
“สหายทุกท่านโปรดวางใจ แม้หลังจากข้าได้รับบาดเจ็บ พลังจะสู้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้สองคนของอีกฝ่ายไม่ได้ ทว่าหากต้องการปิดบังผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจตนอื่นเพื่อวางค่ายกลย่อมไม่มีปัญหาแต่อย่างใด หากสหายทุกท่านไม่มีคำถามอื่นแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะรวมตัวกันที่นี่หลังจากนั้นออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่ประลองด้วยกัน ถึงเวลาประลองอย่างไรก็ต้องทุ่มเต็มกำลัง ไม่ให้อีกฝ่ายมองพิรุธออกเด็ดขาด” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเอ่ยอย่างมีแผนการ
หญิงสาวกับคนอื่นถามเรื่องที่ตนเองกังวลอีกเล็กน้อยก็พากันประสานมือขอตัว
หลิ่วหมิงเองก็สนใจแต่จะกลับไปถ้ำที่พักชั่วคราว
เวลาหลังจากนั้นหลิ่วหมิงตรวจสอบป้ายหยกที่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนมอบให้อย่างระมัดระวังอีกรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่คำลวงจึงซ่อนสิ่งนี้ไว้ใต้เสื้ออย่างระมัดระวังแล้วนั่งทำสมาธิ
ค่ำคืนผ่านไปอย่างไร้เรื่องราว
เช้าวันต่อมาเมื่อหลิ่วหมิงมายังจุดรวมตัวชั่วคราวของทุกคน รถเหาะสีฟ้าอ่อนขนาดมหึมาคันหนึ่งก็จอดนิ่งอยู่บนผืนหิมะ
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนแห่งสำนักเฮ่าหรานกำลังพูดคุยบางสิ่งกับผู้เฒ่าแซ่หวง ดูจากจำนวนคนแล้วคนที่เหลือล้วนมากันเกือบครบแล้ว
เมื่อเห็นหลิ่วหมิงมาถึงชายหนุ่มแซ่หลี่ก็พยักหน้าให้ ส่วนอู่หงหญิงสาวชุดฟ้ายิ้มน้อยๆ ให้เขา
หลิ่วหมิงคำนับแต่ละคนกลับด้วยท่าทางสบายๆ
รออีกสักพักเมื่อทุกคนขึ้นไปบนรถทั้งหมดแล้ว ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนจึงยิงแสงสีฟ้าเส้นหนึ่งใส่รถเหาะ
รถเหาะยักษ์ทั้งคันส่งเสียงดังครืนพักหนึ่งก็กลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งเหาะไปด้านหน้าแล้วค่อยๆ หายลับไปจากสุดปลายทุ่งหิมะเวิ้งว้าง
รถเหาะคันนี้ของผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเห็นชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา ความเร็วยามเหาะเร็วกว่าเรือเหาะหยกจันทราของหลิ่วหมิงอยู่หลายส่วน
เหาะไปเช่นนี้ราวครึ่งเค่อ ทุกคนก็มาปรากฏตัวบนที่ราบโล่งกว้างตรงตีนเขาหิมะขนาดยักษ์ลูกหนึ่งที่ขอบชายแดนน้ำแข็งขั้วโลกแห่งนี้
“เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองฝ่ายฉวยโอกาสยามประลองไปชิงซากโบราณสถาน ข้ากับหัวหน้าของพันธมิตรเผ่าปีศาจนั่นจึงตกลงนัดประลองกันที่นี่ ที่แห่งนี้ห่างจากซากโบราณสถานถึงหลายพันลี้ แต่หากเกิดอะไรขึ้นก็ยังไปถึงได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ การทำลายชั้นจำกัดของซากโบราณสถานอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวล เมื่อครู่ได้รับข่าวว่าครั้งนี้พันธมิตรเผ่าปีศาจแทบจะยกกันมาทั้งรัง ทิ้งผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับผลึกลาดตระเวนเฝ้าใกล้ๆ ซากโบราณสถานไว้สามสี่ตนเท่านั้น เหมือนกับที่พวกเราคาดไว้ก่อนหน้านี้ทุกอย่าง” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนส่งกระแสจิตบอกทุกคนเสียงเบา
เมื่อทุกคนได้ยิน ใบหน้าล้วนเผยสีหน้ายินดีและกระเหี้ยนกระหือรือออกมา
“ฮ่าๆ จนถึงตอนนี้สหายซุนยังมีเวลายิ้มแย้มอีก อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือจึงมั่นใจกับการประลองครั้งนี้นัก?”
เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังก้องมาจากขอบฟ้าไกล
ทุกคนเปลี่ยนสีหน้าทันที พวกเขาทั้งหมดมองมุ่งหน้าไปยังจุดที่เสียงดังขึ้น
แล้วพวกเขาก็เห็นท้องฟ้าห่างไปหลายลี้มีไอหมอกสีดำสายหนึ่งกับสีน้ำตาลสายหนึ่งกำลังพุ่งมาด้านนี้อย่างรวดเร็ว
ด้านหลังมีลำแสงหลากสีสิบกว่าสายพุ่งตามมาติดๆ ใช้เวลาเพียงสองถึงสามลมหายใจพวกมันก็หยุดบนที่ว่างซึ่งห่างจากพวกเขาหลายร้อยจั้ง
ข้างในไอหมอกสีน้ำตาลที่อยู่ด้านหน้าสุดเห็นบุรุษร่างใหญ่กำยำผิวดำที่ห่มผืนหนังคนหนึ่งอยู่เลือนราง ส่วนด้านในไอหมอกสีดำขมุกขมัวอีกก้อนหนึ่งมีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำชั่วร้ายดังออกมา
ขณะที่พวกของผู้ฝึกฝนแซ่ซุนมองสำรวจอยู่นั่นเอง ไอหมอกสองก้อนที่อยู่ด้านหน้าก็สลายตัวหายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสองตนก็ปรากฏตัวชัดเบื้องหน้าพวกหลิ่วหมิง
คนที่อยู่ด้านหน้าทางซ้าย ร่างกายสูงถึงสามจั้ง ผิวหนังดำสนิท ร่างกายกำยำล่ำสัน รอบร่างมีขนสีน้ำตาลหนางอกอยู่ทั่วร่าง ขณะที่บนร่างห่มเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนึ่ง ดูแล้วเหมือนหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ตัวหนึ่ง คิดว่าคงเป็นผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้จากเผ่าหมีเถื่อนที่หลี่หย่งหงเอ่ยถึง
คนที่อยู่ด้านหน้าทางขวากลับรูปร่างผอมสูง สีหน้าชั่วร้าย ดวงตาทั้งสองดุดันดั่งอสนีบาต ในดวงตาทอประกายเจิดจ้า เมื่อประกอบกับจมูกงุ้มเหมือนอินทรีที่ไม่เข้ากับรูปหน้านั่นชวนให้คนรู้สึกพรั่นพรึง เขาคงเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้จากเผ่าอินทรีทะลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
เผ่าปีศาจสิบกว่าตนที่ตามมาด้านหลังเวลานี้ก็ทยอยคลายปราณปีศาจแล้วแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอยู่รางๆ เห็นชัดว่าเป็นเผ่าปีศาจอินทรีทะลวงกับหมีเถื่อนสองกลุ่ม สายตาที่พวกเขามองมายังผู้คนเผ่ามนุษย์ไม่เป็นมิตรอย่างที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา