ครู่หนึ่งหลังจากนั้นในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงใต้ดินลึกหนึ่งพันห้าร้อยจั้ง
“ถึงแล้ว นายท่าน!”
สิ้นเสียงของเซียเอ๋อร์ หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างฉับพลัน ศิลารอบด้านหายไป สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือพื้นที่ทรงกลมขนาดยักษ์ใต้ดินแห่งหนึ่ง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือพื้นที่ทรงกลมที่เต็มไปด้วยแสงสีเหลืองจางๆ และถูกเขตแดนสีเหลืองชั้นหนึ่งล้อมไว้
พื้นที่แห่งนี้ใหญ่กว่าถ้ำบึงน้ำเมื่อครู่กว่าหนึ่งเท่า และตรงหน้าก็คือพระราชวังสีน้ำเงินขนาดหนึ่งหมู่กว่าหลังหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“ดูจากสภาพตรงหน้าคล้ายกับแดนอบอ้าวเมื่อตอนนั้นอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงมองอยู่หลายที ทันใดนั้นในใจก็นึกถึงเรื่องราวเนิ่นนานก่อนหน้านี้ขึ้นมาจนเหม่อไปพักหนึ่ง
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ว่าในพระราชวังเต็มไปด้วยลมปราณธาตุดินเข้มข้นอย่างยิ่ง” เซียเอ๋อร์ชี้พระราชวังแล้วเอ่ยเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูกันเถิด” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปรอบด้าน หลังจากพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ บนร่างก็มีปราณสีดำพวยพุ่งออกมาหุ้มอยู่รอบตัวทั้งสองคนแล้วเหาะไปหยุดหน้าพระราชวัง
พระราชวังหลังนี้สร้างได้งดงามประณีตเหนือใดเปรียบ ทั้งพระราชวังก่อขึ้นมาจากหินแร่สีน้ำเงิน ซึ่งจากความรู้ของหลิ่วหมิงไม่อาจระบุได้ว่านี่คือวัสดุชนิดใด
ประตูพระราชวังที่สูงสองถึงสามจั้งปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ผลึกสีเหลืองใหญ่หลายจั้งลูกหนึ่งที่ฝังอยู่บนคานเหนือประตูใหญ่กำลังทอแสงสีเหลืองเรืองๆ
สี่มุมรอบตำหนักใหญ่มีเสาศิลาสีน้ำเงินสลักลวดลายยันต์มากมายตั้งตระหง่านอยู่มุมละต้น ค่อนข้างคล้ายกับเสาศิลาตรงทางเข้าซากโบราณสถาน แต่ไม่ได้สร้างม่านแสงขัดขวางอยู่
“ดูท่าที่นี่ถึงจะเป็นซากโบราณสถานที่แท้จริง ซ่อนอยู่ลึกเช่นนี้ หากเป็นคนทั่วไปคงสัมผัสไม่ได้แน่ คงจะหยุดอยู่ที่บึงน้ำแห่งนั้น เซียเอ๋อร์ ต้องขอบคุณเจ้าที่หาที่แห่งนี้พบ” หลังจากหลิ่วหมิงมองเสร็จก็แย้มรอยยิ้มเอ่ยขึ้น
“นายท่านชมเกินไปแล้ว! เซียเอ๋อร์เพียงมีสัมผัสที่ไวต่อลมปราณธาตุดินอยู่บ้างเท่านั้น” เซียเอ๋อร์ได้ฟัง ดวงหน้างามก็ปรากฏสีหน้าดีใจเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นพลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งก็ทะลักออกมาดันประตูใหญ่ที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งนั่นให้เปิดออก
สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาก็คือห้องโถงมหึมาแห่งหนึ่ง พื้นปูศิลายักษ์ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน ด้านบนวางโต๊ะเก้าอี้ศิลาสีน้ำเงินหน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายไว้หลายตัว แต่ไม่มีของตกแต่งพิเศษอย่างอื่น
สุดปลายห้องโถงมีทางเดินด้านซ้ายกับด้านขวาไม่ทราบมุ่งหน้าไปที่ใด
“นายท่าน ดูเหมือนนี่จะเป็นสถานที่อาศัยของใครสักคน” เซียเอ๋อร์มองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเช่นนี้
“อืม แต่คงถูกทิ้งร้างมานานแล้ว” หลิ่วหมิงหยุดสายตาตรงฝุ่นหนาบนโต๊ะศิลาตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ที่นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใด ไปดูทางเดินสองเส้นนั้นกันเถิด” เซียเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เสนอเช่นนี้
หลิ่วหมิงพยักหน้า มือตั้งท่าเคล็ดวิชา ทันใดนั้นปราณดำรอบร่างก็ขยายออกหุ้มรอบตัวทั้งสองไว้เป็นก้อนกลม จากนั้นมุ่งหน้าไปยังทางเดินฝั่งซ้ายสุดปลายห้องโถง
สุดปลายทางเดินคือห้องลับแห่งหนึ่ง เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วจึงเปิดประตูห้อง พบว่าด้านในคือห้องนอนที่มีเพียงเตียงนอนแท่นศิลาว่างเปล่าหลังหนึ่ง บนผนังแขวนเสื้อผ้าไว้หลายชุด ดูแล้วไม่มีจุดพิเศษ
“ที่นี่เหมือนจะมีมีสิ่งใด” เซียเอ๋อร์เห็นสภาพ ในดวงตาก็ฉายแววผิดหวังเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสเล็กน้อยก็ยิ้มเจื่อนเดินออกมา จากนั้นพาเซียเอ๋อร์มุ่งหน้าไปทางเดินฝั่งขวา
ผลปรากฏว่าสุดปลายทางเดินก็เป็นห้องลับห้องหนึ่งเช่นกัน
หลังจากผลักประตูเปิด ทันใดนั้นกลิ่นอายดินท่วมท้นก็โถมเข้าใส่จมูกจนทำให้ร่างกายของเขาชะงัก
ด้านในคือห้องศิลามหึมาห้องหนึ่ง มองจากด้านนอกคล้ายกับห้องนอนเมื่อครู่ แต่เมื่อเดินเข้ามาจึงเห็นว่าพื้นที่ด้านในมโหฬารจนน่าตะลึง ไม่เล็กไปกว่าพื้นที่บึงน้ำด้านนอกสักเท่าไร
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือบนพื้นห้องศิลามหึมาแห่งนี้มีภูเขาลูกน้อยสีทองอร่ามขนาดร้อยกว่าจั้งลูกแล้วลูกเล่าเรียงรายอยู่มากถึงสิบสองลูกเต็ม!
ภูเขาน้อยเหล่านี้ประกอบขึ้นมาจากดินเหนียวที่ทอแสงสีทองวิบวับชนิดหนึ่ง ดินเหนียวเหล่านี้หลิ่วหมิงรู้จักดี มันก็คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่เขาเคยพบบนแผ่นดินอวิ๋นชวนนั่นเอง
“นี่…พวกนี้…เป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด…” แม้เขาจะเคยพบสมบัติมาอย่างที่เรียกได้ว่านับไม่ถ้วน แต่ก็ยังถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง
ใบหน้าของเซียเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็เต็มไปด้วยความตะลึงเช่นกัน นางเดินไปข้างภูเขาน้อยลูกหนึ่งแล้วเขย่งปลายเท้าเอนร่างไปด้านหน้า จมูกน้อยอันงดงามสูดหายใจแรงๆ สองสามครั้ง ดูท่าทางเหมือนอยากกินสักคำ
หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาวกดความตกตะลึงในหัวใจลงไป เขายกแขนลูบภูเขาน้อยสีทองตรงหน้าเล็กน้อยก็พบว่ามันให้สัมผัสนุ่มลื่นและยืดหยุ่นเล็กน้อย
“ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่ผิดแน่” เขาพยักหน้า สีหน้าฟื้นกลับมานิ่งสงบ
ร่างกายขยับวูบเดียวเขาก็เหาะมายังบนยอดภูเขาดินปราณลูกหนึ่ง ด้านในมีกองวัตถุดิบอื่นอีกไม่น้อย
“หินผลึกดวงจิตพสุธา ดินทองคำม่วง ผลึกสมุทร…” หลิ่วหมิงแยกแยะอย่างละเอียด สีหน้าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ วัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ายิ่งกว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์ แน่นอนปริมาณเทียบกับดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่ได้
เขาค้นบนภูเขาดินปราณลูกอื่นอีกเล็กน้อยก็พบว่าบนภูเขาแต่ละลูกล้วนมีวัตถุดิบล้ำค่านานาชนิดวางอยู่เหมือนๆ กัน กระทั่งปริมาณก็เท่ากันทุกอย่าง
“พวกนี้น่าจะเป็นวัตถุดิบที่เตรียมไว้หลอมอาวุธ เมื่อรวมกับดินปราณทองคำบริสุทธิ์…ดูเช่นนี้เหมือนมีใครบางคนกองไว้ที่นี่เพื่อหลอมอาวุธเวทบางอย่าง” หลิ่วหมิงร่อนกลับลงมาบนพื้นช้าๆ แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา