“สมบัติที่สัมผัสลมปราณมนุษย์ปีศาจได้…หรือว่าจะเป็นมุกผลึกมาร” ใบหน้าสีเลือดเอ่ยเสียงแหลม
“ตอนนี้ถึงตาข้าถามแล้ว เจ้ามาจากที่ใดแล้วเข้ามาในเศษซากโลกบนได้อย่างไร” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เจ้าหนู เจ้าไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมสืบถามความเป็นมาของข้า ข้าก็เข้ามายังเศษซากโลกบนแห่งนี้จากแผ่นดินจงเทียนเหมือนพวกเจ้า เพียงแต่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ข้าสิงอยู่ในร่างศิษย์ตระกูลอีกคนหนึ่งปะปนเข้ามา จะว่าไปแล้วเจ้ากับข้าก็ไม่มีความแค้นลึกล้ำอันใด เจ้าหนู เจ้าสนใจจะร่วมมือกับข้าไหม?” ใบหน้าสีเลือดฉับพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ร่วมมือกับเจ้า?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
“ไม่ผิด แม้ระดับพลังของเจ้าจะต่ำไปบ้าง แต่ก็นับว่ามีสติปัญญาเหนือผู้อื่น เจ้าช่วยข้าเอาของสิ่งหนึ่งมาจากในซากโบราณสถานแห่งนี้ ข้าจะมอบผลประโยชน์ที่เจ้าคาดไม่ถึงแก่เจ้า” ถ้อยคำของใบหน้าสีเลือดเต็มไปด้วยการล่อลวง
“อ้อ ไหนเจ้าลองว่ามาก่อนสิ” หลิ่วหมิงฟังแล้วหรี่ตาลง แต่ตอบกลับไปอย่างนิ่งสงบยิ่ง
“ฮ่าๆ ง่ายดายยิ่ง ข้ามีชีวิตมานับอนันต์ ล่วงรู้วิชาลับมหัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วน ตัวอย่างเช่นวิชาลับแบ่งวิญญาณวิชานี้ ขอเพียงเจ้าฝึกจนเป็นก็แบ่งดวงวิญญาณได้ตามใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ร่างจริงโชคร้ายสิ้นชีพก็มีชีวิตต่อไปได้ นอกเหนือจากนี้ข้ายังรู้วิชาลับสูตรโอสถนับไม่ถ้วนที่ช่วยให้เจ้าเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ได้สำเร็จ แล้วยังมี…” ใบหน้าสีเลือดพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ คล้ายกับว่าขอเพียงหลิ่วหมิงพยักหน้าก็จะได้ผลประโยชน์ไม่หมดไม่สิ้นในทันที
“อืม ฟังดูไม่เลว” ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายวูบหนึ่งคล้ายสนใจเล็กน้อยจริงๆ
“นั่นแน่นอน สหายน้อย เจ้ากับข้าร่วมมือกันย่อมเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด เอาเช่นนี้สหายน้อยเจ้าหากายเนื้อที่เหมาะสมสักร่างหนึ่งให้ข้าก่อน ข้าจะถ่ายทอดวิชาลับแบ่งวิญญาณนี้ให้เจ้าทันที…” ใบหน้าสีเลือดแย้มยิ้ม กระทั่งคำเรียกขานหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปด้วย
ทันใดนั้นใบหน้าหลิ่วหมิงก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา มือขวาฉับพลันยกขึ้นกำอากาศ ตาข่ายสายฟ้าสีม่วงหุบเข้าหากันในพริบตา
“บึ๊ม” ใบหน้าสีเลือดกรีดร้องได้ครั้งเดียวก็ถูกแสงอสนีบาตสีม่วงนับไม่ถ้วนรุมล้อมจนกลายเป็นฝุ่นปลิวไป
สาเหตุที่หลิ่วหมิงเปลืองน้ำลายคุยกับใบหน้าสีเลือดมาจนถึงตอนนี้ สาเหตุสำคัญก็เพื่อสืบหาตัวตนของเงาโลหิตและตรวจสอบว่าเขายังมีร่างแยกอื่นอยู่บนเศษซากโลกบนแห่งนี้หรือไม่
จากคำพูดของใบหน้าสีเลือดเขาจึงเดาเรื่องราวที่อยากรู้ส่วนใหญ่ออกแล้ว
ส่วนการร่วมมือ เขาถามตัวเองดูแล้วพบว่าเขาไม่มีอารมณ์มาเล่นตลบหลังไปมากับตาแก่ที่อยู่มาไม่รู้เป็นเวลาเท่าไรคนหนึ่ง หากไม่ทันระวังสักเล็กน้อยคงแตกดับไม่อาจหวนคืน
ซุนเผิงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จากสำนักเฮ่าหรานผู้ได้ชื่อว่าชาญฉลาดด้านกลยุทธ์ผู้นั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ด้วยตำแหน่งฐานะและระดับพลังของเขา หากไม่ได้ถูกผู้ที่เรียกตนเองว่าปรมาจารย์โลหิตผู้นี้ล่อลวง จะถูกอีกฝ่ายยึดครองกายเนื้อง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหลิ่วหมิงเพียงแวบเดียวเท่านั้น สายตาก็มองกลับไปที่ร่างผู้ฝึกฝนแซ่ซุน หลังจากก้มตัวค้นหาอยู่รอบหนึ่งได้แหวนเก็บของวงหนึ่งมา เขาก็ทะยานร่างเหาะออกจากหลุม ร่อนลงหน้าทางเข้าซากโบราณสถาน
ยามนี้ชั้นจำกัดนอกซากโบราณสถานถูกคนจากทั้งสองเผ่าร่วมแรงกันทำลายไปแล้ว บนหน้าผาหินด้านหลังเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นปรากฏโพรงถ้ำสีดำสนิทแห่งหนึ่งกับบันไดสีขาวที่ทอดยาวลงไปใต้ดิน
ในโพรงถ้ำมีกลิ่นดินอบอวลลอยออกมา ด้านในมีแสงเรืองรองเล็ดลอดออกมาอยู่เลือนรางชวนให้คนจินตนาการ
หลิ่วหมิงยืนอยู่หน้าปากถ้ำ เผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปในถ้ำเขาก็ครุ่นคิด
ทันใดนั้นเขาก็ตบมือข้างหนึ่งลงข้างเอว ปราณสีดำก้อนหนึ่งลอยออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ มันหมุนติ้วแล้วหยุดนิ่งเผยหญิงสาวผู้มีผ้าตาข่ายสีดำคลุมร่างคนหนึ่ง
“นายท่าน!” เซียเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วคำนับหลิ่วหมิงอย่างอ่อนช้อย
“เซียเอ๋อร์ สำรวจถ้ำแห่งนี้แทนข้าหน่อย หากมีอันตรายอย่าบุ่มบ่ามให้ออกมาทันที” หลิ่วหมิงสั่งเรียบๆ
“เจ้าค่ะ!” เซียเอ๋อร์บิดเอวบาง เมฆสีเหลืองลอยออกมาจากร่างก่อนที่จะส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วมุดลงไปใต้ดินทันที
หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกโอสถเม็ดหนึ่งออกมากิน แล้วเรียกหินจิตวิญญาณระดับสูงก้อนหนึ่งออกมากำไว้ในมือเพื่อฟื้นฟูพลังเวท
หลังจากเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ในสมองของหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงของเซียเอ๋อร์ เขาเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเท้าเดินไปทางปากถ้ำ เดินลงไปตามบันไดสีขาวอย่างช้าๆ
ถ้ำเอียงลงไปใต้ดินแต่ไม่มีทางแยก ด้านในมืดสนิทไปหมด หลิ่วหมิงเดินอย่างระมัดระวังพลางแผ่จิตสัมผัสออกไปสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา
ยังดีที่เป็นเหมือนที่เซียเอ๋อร์ส่งกระแสจิตบอก ในอุโมงค์นอกจากความชื้นกับสายลมร้อนที่พัดพากลิ่นดินมาเป็นระยะก็ไม่มีสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย
ยิ่งเดินลงไป ลมร้อนชื้นก็ยิ่งพัดมาถี่ๆ ทำให้คนยากจินตนาการว่าอุโมงค์จะมุ่งไปยังสถานที่เช่นไร
เดินไปราวหนึ่งก้านธูป บันไดก็ค่อยๆ กลายเป็นทางราบ อุโมงค์ที่เดิมทีคับแคบเริ่มกว้าง ต่อให้คนหลายคนเดินเคียงไหล่กันก็ไม่มีปัญหา แต่สายลมร้อนที่พัดมาปะทะใบหน้ากลับยิ่งร้อนระอุยิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงคำนวณในใจดู เวลานี้เขาคงอยู่ลึกลงมาใต้ดินหลายร้อยจั้งแล้ว เดินต่อไปอีกสักพักในที่สุดอุโมงค์ก็หายไป ประตูศิลาที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเขา
หลิ่วหมิงผลักประตูศิลา ทันใดนั้นตรงหน้าก็ปรากฏบึงน้ำใต้ดินอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
พื้นที่ใต้ดินแห่งนี้สูงถึงสองร้อยจั้ง รอบด้านกว้างหลายหมู่ บนผาหินรอบด้านฝังหินแร่ไม่ทราบชื่อที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ไม่น้อย พวกมันส่องรอบด้านจนสว่างไสว
ทอดสายตามองไป ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นบึงน้ำสีดำสนิทที่มีฟองอากาศผุดขึ้นมา สายลมร้อนชื้นสายแล้วสายเล่าก่อตัวขึ้นเหนือบึงน้ำส่งกลิ่นเน่าเหม็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา