ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ใจกลางลูกแก้วผลึกสีน้ำตาลอ่อนก็เกิดแรงดูดมหาศาลกลืนเปลวเพลิงสีดำเข้าไป
เขาตกตะลึงจนหน้าถอดสีอย่างแท้จริง ปากตวาดแผ่วเบาคำหนึ่ง สองมือก็ประกบจากนั้นแยกออกทันที ลำแสงสีดำหนาเท่าแขนสองสายพุ่งออกไปพร้อมกันแล้วจมเข้าไปในลูกแก้วผลึก
ลูกแก้วผลึกสีน้ำตาลอ่อนส่งเสียงดังวิ้ง แสงรัศมีที่แผ่ออกมาหดหายไปเล็กน้อย ทว่ามันก็ยังคงมีพลังจิตวิญญาณสั่นไหวอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ทั้งลูกกลายเป็นกึ่งโปร่งใส ด้านในมีแสงสีเหลืองดวงหนึ่งหมุนอย่างบ้าคลั่งอยู่เลือนรางต่อเนื่อง
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย สองมือเคลื่อนไหวดั่งกงล้อ เคล็ดวิชาหลากสีเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเร็วรี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ยากเย็นนักกว่าจะผ่อนความเร็วการหมุนของแสงสีเหลืองด้านในลูกแก้วผลึกให้ช้าลงได้บ้าง แต่ก็ยังไม่อาจหยุดได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจลอบโอดครวญไม่หยุด
เดิมทีเขาเพียงคิดจะลองหลอมลูกแก้วผลึกสีน้ำตาลอ่อนลูกนี้ให้กลายเป็น ‘มุกบรรพตธารา’ ที่เสร็จสมบูรณ์เพียงครึ่งเดียวดูสักหน่อย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันทีที่หยดพลังวารีในมุกพลังวารีสัมผัสกับร่างตั้งต้นของอาวุธเวทชิ้นนี้กลับประดุจจุดภูเขาเปลวเพลิงลูกหนึ่งขึ้นมา พริบตาเดียวชักนำวัตถุดิบนานาชนิดในลูกแก้วลูกนี้ทั้งหมดให้เริ่มหลอมเข้าหากัน
มุกบรรพตธาราในตอนนี้ไม่ได้กำลังหลอมเพื่อเป็นของที่เสร็จเพียงครึ่งเดียวแล้ว แต่กำลังเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์
นอกจากนี้การหลอมก็ไม่อาจหยุดได้แล้ว หากฝืนหยุด วัตถุดิบนานาชนิดด้านในลูกแก้วก็จะเสียหายทั้งหมด
ทว่าหยดพลังวามีที่บรรจุอยู่ในมุกพลังวารีทั้งสองลูกน้อยเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อ โอกาสที่จะทำสำเร็จตอนสุดท้ายย่อมน้อยจนน่าเวทนา
หลิ่วหมิงยิ้มฝืดเฝื่อน สิ่งใดเรียกว่ารุกถอยล้วนลำบาก เขานับว่าเข้าใจถ่องแท้แล้ว
สิ่งที่ใช้หลอมอาวุธเวทล้วนเป็นวัตถุดิบที่มีพลังจิตวิญญาณ สิ่งที่ยากเย็นที่สุดก็คือจะทำให้พลังจิตวิญญาณของแต่ละวัตถุดิบสมดุลกันแล้วผสานพวกมันเป็นหนึ่งได้อย่างไรโดยไม่พังทลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุกบรรพตธาราในยามนี้ขาดวัตถุดิบหยดพลังวารีจำนวนมากไปย่อมยิ่งยากเย็น
“พลังจิตวิญญาณ…ใช่แล้ว เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ!”
ขณะที่ในใจหลิ่วหมิงกำลังร้อนรน ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดนึกถึงเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณที่เพิ่งได้มา
จากที่เยี่ยโจ่งแห่งนิกายเทียนกงบอก สมบัติชิ้นนี้มาจากนิกายใหญ่แห่งการหลอมอาวุธในสมัยบรรพกาล อิทธิฤทธิ์ประการสำคัญของมันก็คือการเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้อาวุธจิตวิญญาณกับอาวุธเวท ถ้าเช่นนั้นมันก็น่าจะมีประโยชน์กับสถานการณ์ตอนนี้สิ
นอกจากนั้นหลานซือยังบอกอีกว่าจี๋อิ่งวางแผนจะใช้ประโยชน์จากเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ ไม่แน่เขาอาจต้องการใช้กับมุกบรรพตธาราสิบสองเม็ดนี้ก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาจึงไม่ลังเลอีก แสงสีเงินสว่างขึ้นวูบหนึ่ง เตาหลอมน้อยสีเงินเตาหนึ่งปรากฏออกมาเบื้องหน้า
หลิ่วหมิงใช้พลังโดยแบ่งสมาธิเป็นสองทาง แบ่งพลังจิตครึ่งหนึ่งหลอมมุกบรรพตธาราต่อไป ในเวลาเดียวกันนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีดำสายหนึ่งออกมา ใช้พลังจิตอีกครึ่งหนึ่งเริ่มทำพันธะกับเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณค่อยๆ เปล่งแสงสีเงินออกมาอย่างเชื่องช้า ลวดลายยันต์มากมายทยอยปรากฏขึ้นมา พวกมันกะพริบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดราวกับว่าเตาหลอมน้อยกลายเป็นสิ่งมีชีวิต
เป็นเช่นนี้ผ่านไปเป็นเวลาเกือบครึ่งวันเต็มๆ เสียง “ฟู่” แผ่วเบาก็ดังขึ้น ปากเตาหลอมมีเส้นไหมสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกมา จากนั้นเข้าไปวนล้อมลูกแก้วผลึกสีน้ำตาลอ่อน
แสงสีเหลืองที่ปั่นป่วนรุนแรงอยู่ภายในลูกแก้วผลึกสีน้ำตาลอ่อนในที่สุดก็ค่อยๆ สงบลง!
หลิ่วหมิงสัมผัสได้เลือนรางว่าพลังจิตวิญญาณของวัตถุดิบแต่ละชนิดที่เดิมทีปะทะกันอย่างรุนแรงภายในลูกแก้วผลึกมีแนวโน้มว่าจะมุ่งไปยังจุดหนึ่งแล้วผสานเข้าหากัน
“เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณนี้มีประโยชน์ยอดเยี่ยมเหลือคณาจริงแท้ ข้าเพียงผูกพันธะนิดเดียว สำแดงฤทธิ์ของเตาหลอมล้ำค่านี้ออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ไม่เสียทีที่เป็นสมบัติของนิกายใหญ่แห่งการหลอมอาวุธในยุคบรรพกาล!” ในใจหลิ่วหมิงยินดีเจียนคลั่ง เขารีบทำตามวิธีการที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก เริ่มหลอมอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
ทว่ายามนี้เพื่อไม่ให้ด้านในลูกแก้วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก ความเร็วที่เขาหลอมจึงช้ากว่าก่อนหน้านี้มากกว่าสิบเท่า
“นายท่าน…” ในตอนนี้เองเซียเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาจากประตูห้องศิลา เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกตะลึงยิ่งนัก
“เซียเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้ารีบลอบกลับไปที่ปากทางเข้าซากโบราณสถานลบร่องรอยการต่อสู้ที่นั่นให้ได้มากที่สุด แล้วก็พื้นที่บึงน้ำด้านในซากโบราณสถานก็สร้างร่องรอยสับสนวุ่นวายไว้จำนวนหนึ่ง ทำเหมือนกับว่าที่แห่งนั้นถูกคนกวาดไปจนเกลี้ยงแล้ว พยายามไม่ให้ใครสังเกตการมีอยู่ของที่แห่งนี้” หลิ่วหมิงยิงเคล็ดวิชาอย่างระมัดระวังไปพลางก็ออกปากสั่งไปพลาง
หากคิดจะหลอมมุกบรรพตธาราให้สำเร็จ ไม่ใช่ใช้เวลาแค่สองสามวันจะสำเร็จได้ จากที่เขาคาดการณ์อย่างน้อยก็ต้องการเวลาแรมเดือน
แม้พระราชวังแห่งนี้จะเร้นลับแล้วยังมีชั้นจำกัดกั้นขวางอยู่อีก แต่ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่ถูกผู้อื่นค้นพบ
“ทราบแล้ว นายท่าน!” เซียเอ๋อร์ฟังจบก็รีบพยักหน้า เงาร่างพุ่งวูบเหาะออกไปนอกพระราชวัง
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าก็ออกมาด้วย” หลิ่วหมิงเพ่งจิตพลางยกมือข้างหนึ่งตบเบาๆ บนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ ปราณดำก้อนหนึ่งหมุนติ้วแล้วก่อตัวกลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวคนหนึ่งเหาะออกมา
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็นึกถึงข้าแล้ว!” เฟยเอ๋อร์เอ่ยเสียงอ้อแอ้
“เฟยเอ๋อร์ นี่คือแผ่นค่ายกลของค่ายกลโปรดสัตว์ ข้าจะสอนวิธีวางค่ายกลให้เจ้า เจ้าจงไปวางค่ายกลล้อมพระราชวังทั้งหลังไว้ กั้นคลื่นพลังจิตวิญญาณในที่แห่งนี้ไม่ให้แผ่ออกไปด้านนอก” หลิ่วหมิงเอ่ยพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นค่ายกลและธงค่ายกลของค่ายกลโปรดสัตว์ลอยออกมาร่วงลงบนพื้น
“วางใจเถิด นายท่าน!”
เฟยเอ๋อร์ตอบรับทันที เขาก้มตัวเก็บธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลบนพื้นจากนั้นก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่เกาะแกะตามติดเช่นนั้นอย่างปกติ แม้เขาอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณตลอดแต่ก็เข้าใจสถานการณ์ยามนี้เช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา