หญิงสาวเหมือนได้ยินเสียงจึงหันกายมาอย่างเชื่องช้า นางเป็นหญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้มีใบหน้างามล่มเมืองผู้หนึ่ง
นางก็คือเหยาจีผู้ที่หลิ่วหมิงร่วมอภิรมย์ด้วยหนึ่งราตรีนั่นเอง
เวินเจิงตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่ ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยคำพูด หญิงสาวกลับแค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นว่า
“ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์!”
เวินเจิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากหญิงสาว สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันใด เขาไม่คิดแม้แต่น้อยก็ตวาดเสียงดัง แสงสีเทาส่องสว่างบนร่าง ก่อตัวเป็นอีกาพิบัติขนาดหนึ่งจั้งกว่าเจ็ดถึงแปดตัวโถมเข้าใส่เหยาจี
“ไม่ประมาณตน!”
เหยาจีเห็นเช่นนี้พลันหัวเราะเยาะ มือเรียวงามยกขึ้น ทันใดนั้นกรงเล็บสีแดงขนาดเท่าบ้านข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า พริบตาเดียวตะปบอีกาพิบัติหลายตัวไว้ในกรงเล็บ
เงากรงเล็บกำเข้าหากัน อีกาพิบัติระเบิดเสียงดัง
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วดั่งสะเก็ดไฟ เวลานี้สองมือของเวินเจิงที่ประสานท่าเคล็ดวิชาอยู่เบื้องหน้าชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
ทำลายอีกาพิบัติของเขาได้ในพริบตา หญิงสาวผู้สวมชุดนางในผู้นี้จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่งแน่ นอกจากนี้แสงเรืองรองสีแดงที่อีกฝ่ายส่งออกมาเมื่อครู่ก็เห็นชัดว่าสร้างมาจากปราณปีศาจ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เวินเจิงก็เลิกคิดแย่งของบนแท่นศิลากับสตรีนางนี้อย่างสิ้นเชิง แสงสีเทาส่องสว่างบนร่างจากนั้นเขาก็กลายเป็นแสงสีเทาสายหนึ่งเหาะเร็วจี๋ไปทางปากถ้ำทันที
เขาข้ามผ่านระยะห่างสิบกว่าจั้งในพริบตา ขณะที่เขากำลังจะหนีออกไปนั่นเอง ประตูศิลาที่ทอแสงสีฟ้าระยิบระยับเบื้องหน้าฉับพลันก็ปิดลงดังลั่น
เวินเจิงหยุดร่างกายไม่ทัน ทั้งตัวชนบนประตูศิลาอย่างหนักหน่วง
“ปั้ก” เสียงทุ้มหนักดังขึ้น แสงสีฟ้าอ่อนที่ปรากฏบนประตูศิลาไม่สั่นไหวแม้สักนิด
เวินเจิงสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุด ก่อนหน้านี้เขาเรียกโล่น้อยสีเทาออกมาปกป้องทั้งร่างกายไว้จึงไม่ชนจนบาดเจ็บ แต่ชั้นจำกัดที่วางไว้บนประตูศิลาบานนี้ก็ไม่ใช่ของกระจอก ชั่วครู่ชั่วยามไม่อาจคลายได้
ตอนนี้เองเงาร่างของสตรีผู้สวมชุดนางในก็ปรากฏตัวดุจภูตพรายห่างไปไม่กี่จั้ง นางมองเวินเจิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก ขณะที่สองมือยกขึ้นส่งแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
เวินเจิงสีหน้าเปลี่ยนทันที เขาหมุนตัวในทันใด โล่น้อยสีเทาบนร่างสว่างจ้าขวางหน้าแสงสีขาวไว้
ผิดจากที่เวินเจิงคาด แสงสีขาวโจมตีลงบนโล่น้อยแต่ไม่มีเสียงดังขึ้นสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับติดหนึบบนโล่น้อย
ดวงตาของหญิงสาวผู้สวมชุดนางฉายแววเย้ยหยันอย่างดูถูกขณะที่ปากท่องมนตร์แผ่วเบาฟังไม่ออก โล่น้อยถูกแสงสีขาวชั้นหนึ่งฉาบทับอย่างรวดเร็ว จากนั้นแสงรัศมีก็หายไปหมดสิ้น มันร่วงลงกับพื้นดัง “ตึง”
ไม่ทันที่เวินเจิงจะทำสิ่งใดอีก หญิงสาวก็สะบัดมือส่งแสงสีขาวสายหนึ่งออกมา มันพุ่งลงบนร่างเขาแล้วซึมลงไปตรงหน้าอกอย่างรวดเร็ว
เวินเจิงร้อนรนยิ่งนัก แสงสีเทาบนร่างส่องสว่างหมายจะขับไล่แสงสีขาวออก แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อค้นพบว่าพลังเวทในร่างถูกแสงสีขาวดูดเข้าไปไม่หยุด
แสงสีขาวสิบกว่าสายเกาะติดอยู่บนร่างเวินเจิงแล้วแผ่คลุมไปทั่วร่างเขา พร้อมกับที่มือเรียวงามของหญิงสาวสะบัดอย่างต่อเนื่อง
หนอนสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือตัวแล้วตัวเล่ากำลังขยับขยุกขยิกอยู่ด้านในแสงสีขาว
แม้เวินเจิงจะพยายามควบคุมพลังเวทในร่างที่ไหลรั่วไปด้านนอกอย่างสุดกำลัง แต่เห็นชัดว่าเปล่าประโยชน์ ผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ พลังเวทในร่างก็ถูกกลืนกินจนหมดเกลี้ยง ทั้งร่างพังพาบอยู่กับพื้น
แสงเย็นเยียบปรากฏขึ้นในมือของหญิงสาว ขณะที่นางกำลังจะสะบัดลงมานั่นเอง สายตาของนางก็พลันเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์นิกายบนเสื้อของเวินเจิง มือจึงหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
“สัญลักษณ์นี่…เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายไหนบนแผ่นดินจงเทียน?” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในฉับพลันทำหน้าพิกลพลางเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ข้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์แห่งแผ่นดินจงเทียน” เวินเจิงเดิมทีหลับตารอรับความตายแล้ว แต่เมื่อเห็นหญิงสาวจู่ๆ หยุดลงมือ ในใจจึงเกิดความหวังเล็กๆ ขึ้นมาแล้วรีบร้อนเอ่ยตอบ
“นิกายยอดบริสุทธิ์…เจ้ารู้จักคนที่ชื่อหลิ่วหมิงไหม?” คิ้วงามของหญิงสาวขมวดเล็กน้อย นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามอีก
“หลิ่วหมิงหรือ? เขาเป็นศิษย์ร่วมนิกายที่เข้ามายังเศษซากโลกบนแห่งนี้ด้วยกันกับข้า” เวินเจินได้ยินก็อึ้งไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด
“เล่าเรื่องเกี่ยวกับคนผู้นี้ที่เจ้ารู้ให้ข้าฟัง” ดวงหน้างามของหญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เวินเจิงได้ยินสตรีผู้งามล้ำเลิศคนนี้ตรงหน้าเอ่ยเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เวลานี้ชีวิตน้อยๆ ตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น ไหนเลยยังจะกล้าพูดพร่ำ นอกจากนี้เขาก็ไม่มีความตั้งใจจะปิดบังเรื่องอะไรให้หลิ่วหมิง จึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลิ่วหมิงที่รู้ออกมาจนหมดเปลือก เล่าทั้งหมดที่มีอยู่ในหัว
“ดี ยังนับว่าเจ้ารู้จักสถานการณ์” หลังหญิงสาวผู้สวมชุดนางในฟังจบ ดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง แต่ใบหน้ายังคงเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก
“หรือข้าจะยังเล่าไม่ละเอียดพอ?” เวินเจิงมีสีหน้าวิตกขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงมักจะไม่อยู่ที่นิกายเป็นเวลานาน แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับเขาในนิกายก็มีมากปานนั้น แต่เขาก็เล่ากระทั่งเรื่องเล็กน้อยอย่างสัญญาหมั้นระหว่างหลิ่วหมิงกับเจียหลานออกมาแล้ว
“ท่านเซียนท่านนี้ ข้าเล่าไปจนหมดแล้ว ไม่ทราบว่าจะไว้ชีวิตข้าสักครั้งได้หรือไม่?” เวินเจิงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เหอะ!”
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในไม่ตอบ แต่หนอนสีขาวมากมายที่กระจายอยู่บนร่างของเวินเจิงกลับขยับตัวทยอยมุดเข้าไปในร่างของเวินเจิงดังฉึบๆ
“เจ้า…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา