เดิมทีพวกหลัวเทียนเฉิงยังตกตะลึงกับการโจมตีเหนือจินตนาการของฉิวหลงจื่ออยู่ เวลานี้เห็นเขาร่วงลงมาจึงได้สติรีบเหาะเข้ามา
“ศิษย์พี่ฉิว ท่านไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่ใช้วิชากระบี่ยุคโบราณวิชาหนึ่งจึงเสียลมปราณไปมากอยู่บ้างเท่านั้น พักสักช่วงหนึ่งก็หาย” ฉิวหลงจื่อถอนหายใจยาวเอ่ยขึ้น ในที่สุดสีหน้าก็ฟื้นเป็นปกติ
คนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ก็ก็โล่งอก
นับตั้งแต่จินเทียนชื่อถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากเศษซากโลกบนอย่างไม่คาดคิด ฉิวหลงจื่อก็เป็นเหมือนเสาหลักของผู้คนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ เมื่อรวมกับวิชากระบี่น่าตะลึงที่เขาใช้สังหารอสูรอัคคียักษ์ได้ในครั้งเดียวเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนทั้งเคารพทั้งยำเกรงขึ้นไปอีก
“รีบจัดการอสูรตัวนี้แล้วไปจากที่นี่เร็ว การต่อสู้เมื่อครู่อาจดึงความสนใจของคนอื่นมาก็เป็นได้” ฉิวหลงจื่อเอ่ยพลางพลิกมือเรียกโอสถเม็ดหนึ่งออกมากิน หลังจากนั้นเขาก็หลับตานั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้น
คนที่เหลือย่อมไม่เห็นเป็นอื่นกับเรื่องนี้ พวกเขารีบแยกย้ายไปรวบรวมวัตถุดิบที่มาจากร่างกายมโหฬารของอสูรอัคคียักษ์ตัวนี้ทันที
……
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น หนึ่งมนุษย์กับหนึ่งอสูรกำลังประจันหน้ากันอยู่สองฟากฝั่งของบึงน้ำที่มีไอหมอกสีเขียวลอยอบอวลอยู่บนอากาศ
คนผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิง ส่วนที่อยู่ไม่ไกลคือปีศาจอสูรคางคกหน้าตาอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยตุ่มขรุขระสีเทาเข้ม ใต้คางพองลมส่งเสียงร้องอ้บๆ ไม่น่าฟังออกมาจากปาก
ตรงกลางบึงน้ำระหว่างทั้งสอง มีใบบัวสีเขียวเข้มที่ส่องแสงระยิบระยับกลุ่มหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำ กลางใบบัวคือดอกไม้งดงามขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ดอกหนึ่งที่แผ่แสงสีเขียวเรืองๆ ประหลาดออกมา คล้ายกับเพลิงภูตดวงหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกิดสติปัญญาแล้ว ฟังคำรู้เรื่อง! บัวอัคคีสีหยกในบึงน้ำข้าต้องเอาให้ได้ หากเจ้ารู้จักสถานการณ์ก็อย่าขวางข้า” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีน้ำตาลอ่อนสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ มุกบรรพตธาราปรากฏออกมา แรงกดดันจิตวิญญาณหนักอึ้งสายหนึ่งซัดสาดไปทั่วทุกสารทิศทันที
ดวงตามหึมาทั้งสองข้างของคางคกมองมุกบรรพตธาราเบื้องหน้าหลิ่วหมิงอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่าไม่นานนิสัยดุร้ายก็กลบทับความหวาดกลัวนี้ไป อีกทั้งดอกบัวอัคคีสีหยกที่นี่เป็นสมบัติที่มันเฝ้าปกป้องมาเนิ่นนานปีจะทิ้งไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
“อ้บ…”
คางคกอ้าปากกว้างพ่นหมอกสีเขียวหนาทึบอย่างที่สุดคำหนึ่งซัดเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่าไม่ธรรมดาโถมเข้าใส่จมูก เขาสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งหลบพ้นขอบกลุ่มหมอกไป พร้อมกันนั้นแสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากร่างแทงเฉียงเข้าใส่ดวงตาทั้งสองข้างของคางคกประหนึ่งอสรพิษเลื้อยออกจากโพรง
แม้ร่างกายของคางคกจะดูอ้วนฉุ แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไวยิ่งนัก ทันทีที่ขาหลังกระทืบพื้น ร่างกายก็ทะยานหลบพ้นกระบี่บินสีม่วงอย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือแล้วร่วงลงริมบึงไกลออกไป
ในเวลานี้เองเงาคนก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง เงาของหลิ่วหมิงปรากฏเบื้องหน้าคางคกดุจภูตพราย มือข้างหนึ่งยกขึ้น มุกบรรพตธาราบินพุ่งออกมาแล้วหมุนติ้วเปล่งแสงสีเหลืองสว่างจ้า พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาลวงภูเขาน้อยสีเหลืองลูกหนึ่งทับลงมาอย่างฉับพลัน
ครืน แรงกดดันจิตวิญญาณหนักหน่วงอย่างที่สุดสายหนึ่งระเบิดออกมา เงาภูเขาน้อยยังไม่ทันตกต้องถึงร่างมัน ร่างกายเกือบครึ่งหนึ่งของคางคกก็ถูกพลังมหาศาลที่ทะลักออกมาทับจมลงไปใต้พื้น
เวลานี้คางคกเพิ่งรับรู้ความร้ายกาจของมุกบรรพตธารา ดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่สุด มันอ้าปากพ่นแก่นปีศาจสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ลูกหนึ่งออกมาแล้วพาหมอกสีเขียวหนาทึบพุ่งเข้าชนเงาภูเขาน้อย
“เหอะ!” ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายเย็นเยียบ สองมือตั้งท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่งอย่างรวดเร็ว ด้านล่างเงาภูเขาน้อยมีแสงแวววาวสีน้ำตาลอ่อนชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เมื่อแก่นปีศาจชนถูกเงาภูเขาน้อยก็ระเบิดดังปัง จากนั้นเงาภูเขาน้อยก็ดิ่งลงมาทับ
บึ๊ม!
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แผ่นดินสั่นไหวรุนแรงจนเป็นลูกคลื่นเหมือนบนผิวน้ำ หลุมขนาดใหญ่ลึกสิบกว่าจั้งหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้น
หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่ง เงาภูเขาน้อยกะพริบวูบเดียวก็กลับคืนมาเป็นมุกบรรพตธาราอีกครั้งแล้วบินกลับมาอยู่ในมือของเขา
คางคกสีเทาเข้มขนาดมหึมาตัวนั้นในหลุมลึกกลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่ง แทบจะมองหน้าตาดั้งเดิมไม่ออก
หลิ่วหมิงส่ายหน้า ร่างกายขยับวูบเดียวร่อนลงบนผิวน้ำ เก็บดอกบัวอัคคีสีหยกบนผิวน้ำมาอย่างระมัดระวังใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งก็แหวกท้องฟ้ามุ่งหน้าจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
……
ท่ามกลางกองหินระเกะระกะกลางทะเลทรายแห่งหนึ่งบนเศษซากโลกบน สายลมแรงหอบพัดเศษหินกระจายไปรอบด้าน เป็นทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยความเสื่อมจากหายนะ
ตรงใจกลางทะเลทราย มีหอคอยศิลาทรุดโทรมที่เอียงน้อยๆ ตั้งตระหง่านอยู่หลังหนึ่ง
หอคอยแห่งนี้หน้าตาโบราณ สูงราวเจ็ดแปดสิบจั้ง ดูจากด้านนอกตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่างแบ่งได้ราวเก้าชั้น
เวลานี้ชั้นที่เก้าของหอคอยศิลาฉับพลันมีแสงสีฟ้าแสบตาส่องสว่าง
เปรี้ยง ด้านข้างหอคอยศิลาถูกระเบิดจนเป็นรูใหญ่ สตรีชุดฟ้าผู้หนึ่งหนีออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจดจำได้ในทันทีว่าสตรีนางนี้ก็คือหลานซือแห่งเผ่าหลานมู่นั่นเอง
เวลานี้หลานซือสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ในมือกำผลึกสีเหลืองขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ชิ้นหนึ่งที่ด้านบนวาดภาพมนุษย์สีทองขนาดเท่าฝ่ามือกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าโอบอ้อมอารีประหนึ่งมีชีวิตไว้แน่น
ภาพมนุษย์สีทองเปล่งแสงวงแล้ววงเล่าออกมาจากบนผิว แลดูลึกลับอย่างที่สุด
หลานซือเพิ่งเหาะออกมาจากหอคอยศิลาได้ไม่นาน ด้านหลังก็เกิดเสียงเปรี้ยงดังสนั่น เศษหินปลิวออกมาจากหอคอยศิลา อสรพิษปีกคู่ยาวยี่สิบถึงสามสิบจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในพร้อมกับร้องคำรามฟังดูประหลาดแสบแก้วหู ร่างกายดีดตรงเข้าใส่หลานซือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา