“น่าจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้เหลือเวลาก่อนค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเปิดอีกไม่ถึงครึ่งวัน หากไม่มีคนกำลังเร่งเดินทางมาก็คง…” ฉิวหลงจื่อโบกมือเอ่ยอย่างไร้ชีวิตชีวา
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดศิษย์พี่จินจึงไม่อยู่ หรือว่าเขา?” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขาเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวครั้งหนึ่ง ศิษย์พี่จินจึงถูกพลังชั้นจำกัดของที่แห่งนี้เคลื่อนย้ายออกไปแล้ว” ฉิวหลงจื่อส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเล่าเรื่องที่พวกจินเทียนชื่อถูกเผ่าเกล็ดผลึกหนึ่งในสุดยอดเผ่าทั้งสามซุ่มโจมตีให้ฟังสั้นๆ
หลิ่วหมิงฟังจบแรกสุดตกตะลึงแต่จากนั้นก็เข้าใจ
หลังจากนั้นเขาก็สนทนากับพี่น้องโอวหยางสองสามประโยค
พูดไปแล้วในใจเขาก็ละอายอยู่บ้าง การปกป้องพี่น้องโอวหยางเป็นสิ่งที่ตนเองสัญญาไว้ แต่หนึ่งปีนี้ตนอยู่กับสตรีทั้งสองนางเพียงแค่เดือนกว่าๆ ในช่วงแรกเท่านั้น
แต่สตรีทั้งสองไม่ใส่ใจสักนิด ตรงกันข้ามถ้อยคำที่เอ่ยยังเผยความเป็นห่วงที่มีต่อเขา เรื่องนี้ทำให้หลิ่วหมิงซึ้งใจอยู่บ้างอย่างห้ามไม่ได้
หลังจากเขากับหลงเหยียนเฟยสนทนากันเรื่อยเปื่อยสองสามประโยค เขาก็เดินไปด้านข้าง เอาแต่นั่งทำสมาธิรอคอยอย่างสงบ
ระหว่างทางที่กลับมาเขาพบเรื่องยุ่งยากบางอย่างจึงเสียเวลาไปไม่น้อย เพื่อไม่ให้พลาดเวลาเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นเขาจึงเดินทางเต็มกำลัง เสียพลังเวทไปมากมายนัก เวลานี้ต้องฉวยโอกาสสุดท้ายฟื้นพลังสักหน่อย
เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย สุดท้ายก็ไม่มีใครโผล่มาอีก
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ในห้องโถงใหญ่ใต้วิหารหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์บนโลกมนุษย์ เทียนเกอเจินเหรินผู้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาศิลามังกรขดสีน้ำเงินต้นหนึ่งขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม
“เทียนเกอ แม้เลี่ยหยางจะถูกเคลื่อนย้ายออกมา แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องว้าวุ่นใจเช่นนี้ ครั้งนี้พวกเราได้อันดับหนึ่งมาจากงานประตูสวรรค์ โชคชะตาหลายร้อยปีต่อจากนี้จะรุ่งเรืองเฟื่องฟู เชื่อว่าศิษย์เหล่านั้นที่เหลือน่าจะมีโชค ไม่น่าเวทนาอย่างพวกเราเมื่อตอนนั้น” ผู้เฒ่าใบหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งบนเสาศิลามังกรขดอีกต้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
เทียนเกอเจินเหรินฟังแล้วก็พยักหน้าให้ผู้เฒ่าผู้นั้น
“ตอนนั้นพวกเราสองคนโชคดีรอดออกมาจากเศษซากโลกบนแห่งนี้แต่ก็บาดเจ็บสาหัส สุดท้ายแม้จะผ่านมาถึงระดับดาราพยากรณ์ได้ แต่เส้นทางการฝึกฝนก็หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เฮ้อ…” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวอีกคนหนึ่งฉับพลันถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์น้อง เรื่องตอนนั้นอย่าเอ่ยถึงอีกเลย นับดูพวกเขาก็เข้าไปในเศษซากโลกบนเกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว อาศัยยามที่พลังของเขตแดนระหว่างโลกอ่อนแอ ไม่สู้พวกเราเปิดทางเชื่อมเร็วขึ้นหน่อยให้พวกเขากลับมาเร็วขึ้นอีกนิด อย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรที่เศษซากโลกบนอีก” ผู้เฒ่าใบหน้าอ่อนโยนเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ก็ดี อย่างไรก็เหลือเวลาไม่ถึงสองสามชั่วยาม คนที่ควรมาถึงก็น่าจะมาถึงแล้ว เทียนเกอ พวกเราลงมือกันตอนนี้เลยเถิด” ผู้เฒ่าคิ้วหนาสีขาวเปลี่ยนสีหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
ผู้อาวุโสแซ่หานกับเทียนเกอเจินเหรินมองหน้ากันครั้งหนึ่งก็พยักหน้า สองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างต่อเนื่อง ปากเริ่มท่องมนตร์งึมงำฟังยาก
“พรึ่บ” เสียงดังขึ้นหลายครั้ง เสาศิลามังกรขดสี่ต้นใต้เข่าของพวกเขาฉับพลันเปล่งแสงสีน้ำเงิน แสงเรืองรองส่องสว่างตกต้องค่ายกลบนพื้น
ค่ายกลยักษ์บนพื้นเปิดทางเชื่อมเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ เสียงครวญครางทุ้มต่ำดังขึ้น จากนั้นเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นก็มียันต์ลอยออกมาอย่างช้าๆ
ผ่านไปไม่นาน สีของเสาศิลาสีน้ำเงินก็เปลี่ยนเป็นสีเลือดอย่างน่าประหลาด เสาศิลาทั้งต้นถูกแสงสีแดงหุ้มไว้ในพริบตา ห้องโถงเต็มไปด้วยแสงสีแดงส่องสว่าง
ในตอนนี้เองท่าเคล็ดวิชาที่มือทั้งสี่คนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ทะยานร่างขึ้นมาลอยอยู่กลางอากาศ ยอดเสาศิลายิงแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งลงมาเบื้องล่าง
เสาศิลาสี่ต้นสั่นไหวไม่หยุด แสงสีแดงบนเสาศิลากลายเป็นเหมือนสายน้ำไหลทยอยเคลื่อนเข้าไปในค่ายกลบนพื้น
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นทั้งค่ายกลก็กลายเป็นน้ำพุสีแดง แต่สิ่งที่ผุดออกมาจากใจกลางค่ายกลกลับไม่ใช่น้ำพุไหลริน แต่เป็นหมอกจิตวิญญาณที่เหมือนสายน้ำไหล
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายหวนกลับเปิดออกแล้ว หากพวกเขาอยู่ที่จุดตั้งต้นก็น่าจะสัมผัสได้” เทียนเกอเจินเหรินมองน้ำพุสีแดงบนพื้นแล้วเอ่ยขึ้นเช่นนี้
……
ในเวลาเดียวกัน ณ ขอบทะเลทรายอันรกร้างว่างเปล่า หลิ่วหมิงกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิ
เพราะจะออกจากเศษซากโลกบนอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว เขาจึงกำลังวางแผนในใจว่าสมบัติกับวัตถุดิบชิ้นไหนจะส่งมอบให้นิกาย ส่วนชิ้นไหนจำต้องเก็บเอาไว้ให้ตนเอง
ตัวอย่างเช่นร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราทั้งสิบสองลูก สมุนไพรยืดอายุขัยรวมทั้งสมุนไพรที่ช่วยทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นแท้เหล่านั้นเขาไม่มีทางส่งมอบให้นิกายเด็ดขาด แต่ดูจากกฎที่นิกายตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ ต้องมอบของที่ได้มาจากเศษซากโลกบนสองในสามส่วนให้ หากตนต้องการเก็บสมบัติล้ำค่าไม่กี่ชิ้นนี้ไว้ ดูท่าหญ้าจิตวิญญาณกับสมุนไพรจิตวิญญาณที่ได้มาเหล่านี้จะยังไม่พอ
ขณะที่หลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นเสียงครวญครางพลันดังขึ้นมาจากทะเลทรายเวิ้งว้าง แผ่นดินสั่นสะเทือนตามมา
ทันใดนั้นเสียงอสนีบาตก็ดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางผืนฟ้า สะเทือนแก้วหูแทบดับ!
จากนั้นคลื่นสั่นสะเทือนระลอกแล้วระลอกเล่าก็ส่งมาจากลึกลงไปใต้ดินเบื้องหน้าทุกคน ราวกับว่ามิติกำลังฉีกออกจากกัน
พวกหลิ่วหมิงแปดคนเห็นเช่นนี้ก็พากันเปลี่ยนสีหน้าลุกขึ้นยืน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา