“เช่นนี้ก็ขอบคุณผู้อาวุโสไป๋ยิ่งนัก!” หลิ่วหมิงฟังจบในใจพลันยินดี เขารีบรับมาแล้วก้มต่ำคำนับทันที
หลังจากนั้นเขาก็ไม่รั้งรออยู่ที่นี่นาน เขาขอตัวออกจากสวนอสูรจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
“ผู้อาวุโสไป๋ ยากนักที่จะเห็นท่านใจกว้างเช่นนี้ กระทั่งของที่ผู้อาวุโสฮั่วชั่นแห่งเขาอสูรสวรรค์ให้มาก็ยกให้ผู้อื่น หรือท่านยังหมายตาอสูรจิตวิญญาณแมงป่องตัวนั้นอยู่?” หลังจากหลิ่วหมิงจากไป บุรุษร่างกำยำผมสั้นก็หัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น
“ไร้สาระ ข้าไหนเลยจะเป็นคนตื้อไม่เลิกเช่นนั้น? หลายปีก่อนอินจิ่วหลิงเคยช่วยข้าไว้ครั้งใหญ่ ครั้งนี้ช่วยศิษย์เขาสักหน่อยนับว่าตอบแทนน้ำใจที่ติดค้างเขา!” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาแค่นเสียงเหอะแล้วก้าวอาดๆ จากไป
บุรุษร่างกำยำผมสั้นส่ายหน้า จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยิงเคล็ดวิชาหลายสายออกไป พื้นดินเปล่งแสงสีน้ำตาลอ่อนพักหนึ่ง ร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเซียเอ๋อร์กับอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎก็ถูกเก็บกวาดจนสะอาดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
……
หลังออกจากสวนอสูรจิตวิญญาณ หลิ่วหมิงไม่ได้กลับถ้ำที่พัก แต่ตรงไปยังวิหารส่งตัวของนิกายแล้วใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายออกไปจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณทันที
โยวโจวที่ตั้งของเขาอสูรสวรรค์อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินจงเทียน ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไม่รู้กี่หมื่นลี้ หลิ่วหมิงนั่งเรือหยกจันทราเดินทางทั้งวันทั้งคืนและใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งอย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียวหินจิตวิญญาณก็ยังใช้ เวลาหนึ่งเดือนกว่าจึงมาถึงโยวโจว
วันนี้นอกเขาอสูรสวรรค์เรือเหาะสีขาวลำหนึ่งแหวกท้องฟ้ามาจากขอบฟ้าไกล บนเรือเงาบุรุษชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาย่อมเป็นหลิ่วหมิงที่เปลี่ยนมาใส่เครื่องแบบนิกายนั่นเอง
เขามองเขาอสูรสวรรค์ตรงหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงแวบหนึ่ง
ห่างไปเบื้องหน้าหลายร้อยจั้ง ยอดเขายักษ์สูงตระหง่านทะลุเมฆลูกหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นดิน ตั้งแต่ไหล่เขาจมหายไปท่ามกลางหมู่เมฆสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ยอดเขาลูกนี้คือยอดเขาที่ตั้งตระหง่านสูงที่สุดที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมานับตั้งแต่เข้ามาในแผ่นดินจงเทียนจนกระทั่งถึงวันนี้ เพียงแค่พื้นที่ซึ่งยอดเขาครอบครองก็กินบริเวณถึงหลายร้อยลี้ ราวกับยักษ์ใหญ่ร่างสูงค้ำฟ้าตนหนึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขา บนหน้าผายักษ์สามด้านที่ลากจากยอดเขาลงมาจรดพื้นเขียนอักษรตัวใหญ่ไว้สามตัวว่า ‘เขาอสูรสวรรค์’ อักษรแต่ละตัวใหญ่เกือบพันจั้ง ทรงพลังยิ่งใหญ่อย่างที่สุด
ด้านหลังยอดเขาสูงตระหง่านเห็นทิวเขาเตี้ยๆ ทอดเป็นแนวอยู่เลือนราง ที่นั่นก็คือเทือกเขาอสูรสวรรค์ที่ตั้งนิกายเขาอสูรสวรรค์นั่นเอง
ขณะที่เขากำลังเหม่อมองอยู่นั่นเอง ปีศาจวิหคสีขาวขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งก็บินมาจากบนยอดเขายักษ์ บนหลังของปีศาจวิหคมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าคนหนึ่งยืนอยู่ สายตามองหลิ่วหมิงด้วยแววตาระแวดระวัง
“ขอถามผู้อาวุโสท่านนี้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ว่าอันใด? ด้านหน้าคือที่ตั้งเขาอสูรสวรรค์ของพวกเรา หากไม่มีธุระโปรดอย่าได้รั้งอยู่นาน” ชายหนุ่มพลังเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณ เขาบังคับปีศาจวิหคใต้ร่างให้หยุดห่างจากหลิ่วหมิงสิบกว่าจั้ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ถ่อมตัวแต่ก็ไม่โอ้อวด
“ข้าคือหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ วันนี้มาเยือนที่นี่เพราะต้องการมาเยี่ยมผู้อาวุโสฮั่วชั่นของสำนักท่านสักหน่อย” หลิ่วหมิงพูดพลางเรียกป้ายประจำตัวศิษย์นิกายสายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ออกมาแขวนไว้ที่เอว แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“อ้อ ที่แท้ผู้อาวุโสหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์นี่เอง เชิญพักที่ห้องโถงรับแขกก่อน” ชายหนุ่มเห็นป้ายประจำตัวในมือหลิ่วหมิงก็โค้งกายคำนับด้วยสีหน้าจริงจัง
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วติดตามชายหนุ่มอ้อมเขายักษ์สูงตระหง่านไป ไม่นานพวกเขาก็มาถึงลานหยกขาวแห่งหนึ่งบนไหล่เขาด้านหลัง รอบลานกว้างคือศาลาและหออันวิจิตรหลังแล้วหลังเล่า
ชายหนุ่มพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องหรูหราในหอหลังหนึ่งในนั้น หลิ่วหมิงมองรอบด้านสองสามครั้ง วัสดุที่ใช้ทำหน้าต่างประตูและเครื่องเรือนที่นี่ล้วนพิถีพิถัน วิจิตรประณีตยิ่งนัก ดูทุ่มเทใส่ใจไม่น้อย
เขาเพิ่งนั่งลงก็มีเด็กรับใช้ยกชาจิตวิญญาณกับผลไม้และขนมมาให้ทันที
เห็นท่าทางนอบน้อมของชายหนุ่ม หลิ่วหมิงก็ลอบถอนหายใจ ชื่อเสียงของสี่ยอดนิกายใหญ่มีประโยชน์ยิ่งนักจริงๆ
“ผู้อาวุโสหลิ่วอย่าได้ถือโทษ ผู้อาวุโสฮั่วชั่นของนิกายเราตอนนี้กำลังเก็บตัวอยู่ ปกติแล้วจะไม่พบแขก ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีของที่ใช้แสดงตัวตนได้หรือไม่?” ชายหนุ่มไม่นั่งลงแต่ยืนห่างไปด้านหน้าหลิ่วหมิงหลายก้าวแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจเล็กน้อย
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร แต่ส่งตราชิ้นนั้นที่ผู้อาวุโสไป๋มอบให้แก่ศิษย์หนุ่ม
“ที่แท้ท่านมีตราหมื่นอสูรของนิกายเรา! ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ผู้เยาว์จะไปแจ้งผู้อาวุโสฮั่วให้ท่านเดี๋ยวนี้” เมื่อชายหนุ่มเห็นตราที่มีอักษรคำว่า ‘อสูร’ ประทับอยู่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขารับมาอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของชายหนุ่มอยู่กับตา ในใจฉุกคิดอะไรบางอย่าง
เมื่อครู่ชายหนุ่มหลุดปากออกมาว่า ‘ตราหมื่นอสูร’ ดูท่าป้ายชิ้นนี้ที่ผู้อาวุโสไป๋มอบให้เขาจะมีความเป็นมาอยู่บ้าง แต่เขาไม่ขบคิดต่อ เพียงนั่งรออย่างนิ่งสงบอยู่บนที่นั่งเงียบๆ เท่านั้น
ชาจิตวิญญาณที่เขาอสูรสวรรค์เตรียมไว้ให้ในความหวานมีรสขมฝาดติดอยู่เล็กน้อย ทิ้งกลิ่นหอมอบอวลอยู่ในปาก ดื่มลงไปแล้วมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
ส่วนจะได้พบผู้อาวุโสฮั่วชั่นผู้นั้นหรือไม่ เขาไม่กังวลใจเกินไปนัก
ปรากฏว่าหลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ชายหนุ่มก็รีบร้อนเดินเข้ามาจากนอกประตู
“ปล่อยผู้อาวุโสหลิ่วรอเสียนาน เชิญตามข้ามา ผู้อาวุโสฮั่วตอบรับจะพบท่านแล้ว”
“เชิญสหายนำทางเถิด” ในดวงตาหลิ่วหมิงทอประกายยินดี เขาลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยตอบโดยไม่เสียเวลาคิด
ชายหนุ่มเอ่ยขออนุญาตคำหนึ่งก็พาหลิ่วหมิงเดินออกจากหอ ครั้งนี้เขาไม่ได้ปล่อยปีศาจวิหคเมื่อครู่ออกมา แต่ขี่เมฆเหาะลึกเข้าไปในเทือกเขาอสูรสวรรค์
หลิ่วหมิงมองสำรวจสภาพรอบด้านอย่างสงสัยใคร่รู้ไปตลอดทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา