บัดนี้บรรดาคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างก็รู้สึกเข้าตาจน
บรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกในโลกปัจจุบัน หอคลื่นโหมมีท่าทีที่ค่อนข้างปิดกั้น น้อยยิ่งนักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายน้อย อีกทั้งไม่โอนเอนไปทางฝ่ายใดเลย
ตำหนักอัสนีสวรรค์และเมืองทะเลมรกตมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ทว่ายังไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเขากว่างเฉิงและเขาไร้พรมแดนมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังไม่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์
ความสัมพันธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์ค่อนข้างแน่นแฟ้น ถึงกระนั้นตำหนักอัสนีสวรรค์ก็ถูกเมืองทะเลมรกตควบคุมเอาไว้ มงกุฎจันทรา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองทะเลมรกตครอบครองอยู่ในขณะนี้ก็ถูกนำมาจากปฐพีพิภพ
ปัจจุบันเขาไร้พรมแดนมีท่าทีวางตนเป็นคนนอก ปล่อยเรื่องไปตามน้ำ
เมื่อหวงกวงเลี่ยยังไม่ออกฌาน สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ
“ถึงแม้ว่าหยวนเจิ้งเฟิงจะยังมีอาการบาดเจ็บเดิมอยู่ เข้าฌานเพื่อบรรลุเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์จึงเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่หากประสบความสำเร็จขึ้นมา กำลังของเขากว่างเฉิงก็จะเพิ่มสูงขึ้น”
แสงรัตติกาลกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ความสำเร็จของท่านอาจารย์ลุงหวงจะเพิ่มขึ้นอีกขั้น และหยวนเจิ้งเฟิงบรรลุขึ้นอีกระดับเช่นกัน แต่สถานการณ์ก็จะไม่ต่างกับตอนนี้”
“กระนั้น แม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะได้เปรียบ แต่ก็ไม่อาจกดเขากว่างเฉิงได้โดยสิ้นเชิง”
การเลือกผู้ที่จะรับช่วงต่อเจ้าสำนักก็ต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้าน ทว่าสำหรับจอมยุทธ์อย่างเดียวแล้ว เยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศิษย์ที่หยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักอาวุโสภาคภูมิใจมากที่สุด
อย่างไรอนาคตก็ยังมีผู้สืบทอด นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หยวนเจิ้งเฟิงตัดสินใจเสี่ยงเข้าฌาน
หากเยี่ยนตี๋ตาย ไม่เพียงแต่จะตัดศิษย์รุ่นกลางผู้เป็นความหวังอันดับหนึ่งของเขากว่างเฉิงไป ยังเกิดเป็นเงามืดภายในก้นบึ้งจิตใจของหยวนเจิ้งเฟิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขาเช่นกัน
ต่อให้หยวนเจิ้งเฟิงยังคงมุ่งมั่นที่จะเข้าฌานเพื่อบรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากในใจยังมีเรื่องให้ห่วงอยู่มาก ระดับความยากก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
จรัสแสงกล่าวว่า “ครั้งนี้พวกเราแพ้ไปครั้งหนึ่ง ตอนนี้มาคิดดีกว่าว่าทำอย่างไรให้แพ้น้อยที่สุด”
พานป๋อไท่มองผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตผู้นั้นด้วยสายตาที่เยือกเย็น “เมืองทะเลมรกต…มันเหิมเกริมได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ อีกไม่นานจะถึงการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สามแล้ว พวกเขาได้ใจอีกไม่นานหรอก!”
ในตอนนี้เอง ไกลออกไปมีแสงเจิดจ้ามหาศาลส่องสว่างขึ้น เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดฝีมือแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นพานป๋อไท่ จรัสแสง และแสงรัตติกาลเสียอีก!
ประหนึ่งกับมีเขตแบ่งที่ไร้รูปร่างกรีดโลกออกเป็นสองซีก ครึ่งหนึ่งเป็นเหมือนปกติ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลายเป็นโลกแห่งแสง
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้พากันหันหลังหลบพลังนั้น เพราะแสงฉายเจิดจ้า สาดส่องไปทั่วฟ้าดิน
เยี่ยนตี๋ สือเถี่ย และผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตผู้นั้นยังคงมีสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มองไปยังทิศทางที่เต็มไปด้วยแสงสีขาวนั้นอย่างเงียบๆ
แสงสีขาวแล่นผ่านไปในชั่วพริบตา และที่ตามติดมาก็คือดวงจันทร์ดวงหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนขึ้นจากฟากฟ้าไกลออกไปอย่างช้าๆ!
ราวกับเป็นแสงจันทร์ที่สามารถแข่งกันส่องสว่างกับดวงตะวันของจริงได้!
เมื่อแสงจันทร์อันสุกสกาวสาดส่องลงมา ดวงอาทิตย์ที่แปรสภาพมาจากวรยุทธ์วิชาของพานป๋อไท่และคนอื่นๆ ก็ดูมืดลงไปในพริบตา
ภายใต้แสงจันทร์อันเยือกเย็น ทั่วหล้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็บเฉียบในพริบตา
ดวงจันทร์ค้างเติ่งอยู่กลางท้องฟ้า แม้ว่ามันจะเพิ่งปรากฏขึ้น ทว่าก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน เพราะนั่นก็คือการแปรสภาพพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ มงกุฎจันทรา!
ส่วนโลกที่เต็มไปด้วยแสงสีขาวนั้นคือมาตรสุริยันวัดสวรรค์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน
เหมือนกับการขึ้นและตกลงของดวงอาทิตย์ที่ลอยลัดฟ้าไปอย่างไรอย่างนั้น
ทว่ามาตรสุริยันวัดสวรรค์ในตอนนี้กลับไม่มีความคิดที่จะยืดเยื้ออยู่กับมงกุฎจันทราให้มากกว่านี้ และก็ไม่ได้สนใจเยี่ยนตี๋และคนอื่นๆ แต่กลับพาพวกของพานป๋อไท่ไปในทิศทางที่ไกลออกไป
“ตอบโต้รวดเร็วยิ่งนัก หากหวงซวี่ลังเลไปเพียงเล็กน้อย ก็คงถูกมงกุฎจันทรากับชุดคลุมนภาของสำนักท่านร่วมกันจับตัวเอาไว้แล้ว” ผู้อาวุโสเมืองทะเลมรกตเบะปาก
เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ร่างกายถูกแสงจันทร์สุกสกาวห่อหุ้มเอาไว้
สือเถี่ยกล่าวกับเยี่ยนตี๋ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าคุมการณ์อยู่ที่เกาะนภาตะวันออกนี่แหละ พวกเจ้าพ่อลูกจะได้มีเวลาพูดคุยกัน ข้าจะตามไปไล่ล่ามงกุฎจันทราเอง”
เยี่ยนตี๋พยักหน้า “ลำบากศิษย์พี่ใหญ่แล้วขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี