ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี นิยาย บท 114

จ้าวหมิงมองลู่เวิ่น ในแววตามีความรู้สึกซับซ้อนอยู่หลายส่วน

เขาอยู่ที่ถังตะวันออก ทั้งยังเป็นบุคคลมากความสามารถในอันดับต้นๆ พรสวรรค์โดดเด่นเหนือผู้อื่น และยังมีใจมุ่งมั่นในด้านวรยุทธ์ ซึ่งความสำเร็จในด้านวรยุทธ์ก็เหนือว่าบรรดาพี่น้องของตน

การที่สามารถเข้าสู่สำนักเขากว่างเฉิงได้ ทั้งยังสวมชุดคลุมสีน้ำเงินกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะ ได้รับการอบรมสั่งสอนเน้นหนักจากสำนัก สิ่งเหล่านี้นับเป็นการรับรองตัวเขาแล้ว

ทว่าลู่เวิ่นที่อยู่เบื้องหน้า แม้อายุจะใกล้เคียงกับจ้าวหมิง แต่วรยุทธ์กลับสูงกว่าเขาไม่น้อย

อายุของจ้าวหมิงในขณะนี้ การที่ระดับวรยุทธ์จะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลางได้ ก็แทบจะเป็นที่เรื่องยากยิ่งนัก

กระนั้นลู่เวิ่นกลับอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายมานานแล้ว

ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่าย ก็เหมือนกับการสวมชุดสีน้ำเงินที่ใส่เหมือนกัน แต่ขอบชุดของลู่เวิ่นมีแถบสีดำมากกว่าเขาเส้นหนึ่ง

ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ข้างกายนั้น ฝีมือน่าทึ่งเสียยิ่งกว่า ก่อนที่จะออกสำนักครั้งก่อนยังเป็นแค่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย แต่พอกลับสำนักครั้งนี้กลับอยู่เหนือจ้าวหมิงโดยสิ้นเชิง บรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้ายแล้ว!

ความเร็วในการบรรลุขั้นเช่นนี้ ไม่สามารถใช้คำว่าน่าทึ่งมาบรรยายได้อีกแล้ว แต่ต้องใช้คำว่าน่ากลัวแทน

ในเรื่องนี้ จ้าวหมิงไม่มีความรู้สึกริษยาเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความอิจฉาเท่านั้น

จ้าวหมิงมองลู่เวิ่นที่กำลังเดินขึ้นมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ลู่ที่ชี้แนะ”

การแข่งขันระหว่างฟางจุ่นกับเยี่ยนตี๋ จ้าวหมิงเองก็รู้ชัดเจนเช่นกัน

นั่นเป็นเรื่องในระดับที่สูงเกินไป ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถแทรกแซงได้ ทว่าจะใกล้ชิดกับฝ่ายไหนมากกว่า สำหรับจ้าวหมิงแล้วไม่มีปัญหาในการเลือกแต่อย่างใด

ในบรรดาลูกศิษย์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของเขากว่างเฉิง ความสัมพันธ์ของลู่เวิ่นกับเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว จ้าวหมิงรู้อยู่แก่ใจเช่นกัน

‘วิชาวรยุทธ์อื่นๆ ล้วนแล้วแต่ไม่ฝึก เจาะจงฝึกแต่เพลงกระบี่เจ็ดดาราเป็นสิบปี บางทีเจ้าอาจจะชี้แนะข้าได้’ จ้าวหมิงมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง นึกขึ้นได้ถึงการประลองทักษะเพลงกระบี่เจ็ดดาราในอดีต หลังจากที่ลู่เวิ่นได้รับชัยชนะก็ทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ ผลสุดท้ายทำให้สหายคนนี้ของตนตัดใจทิ้งการฝึกเพลงกระบี่เจ็ดดาราไป แล้วหันมาฝึกวิชามังกรเขียวในชายเสื้อที่คิดค้นขึ้นด้วยตนเองแทน

เยี่ยนจ้าวเกอมองลู่เวิ่นอย่างสงบนิ่ง ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา หว่างคิ้วเผยให้เห็นความเย่อหยิ่งกับความมั่นใจอยู่หลายส่วน

ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของเขากว่างเฉิง ลู่เวิ่นมีความมั่นใจและคุณสมบัตินี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอที่ตกลงไปบนศีรษะของลู่เวิ่น

“โอ๊ะ เลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาแล้ว ยินดีด้วย ยินดีด้วย” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก

จ้าวหมิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักงัน สีหน้าเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก ก่อนจะใช้จิตใจสัมผัสอย่างละเอียด ไม่ได้เพียงแค่มองด้วยตาเปล่าเท่านั้น

เป็นอย่างที่คิด เหนือศีรษะของลู่เวิ่นราวกับมีแสงกำลังลอยตัวขึ้นจางๆ และพุ่งตรงไปบนฟ้า เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายไป

“บรรลุขั้นเคียงนภาแล้วจริงๆ ด้วย!” แววตาของจ้าวหมิงนิ่งงัน นั่นเป็นแสงชีวิตที่สลับกันระหว่างฟ้าดิน ซึ่งหมายความว่าจอมยุทธ์ฝึกวรยุทธ์วิชากับปราณจิตราทั่วกายของตนจนมีชีวิตแล้ว และสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้

เมื่อแสงชีวิตนั้นแข็งตัว และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้น ก็หมายความว่าจอมยุทธ์ได้ย่างก้าวสู่ขั้นฝ่านภา รวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินแล้วแล้ว

ปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาสามารถควบคุมการปรากฏของแสงชีวิตได้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าบัดนี้ลู่เวิ่นไม่ได้ควบคุมแต่อย่างใด แสดงออกมาต่อหน้าผู้คนอย่างชัดเจน

เยี่ยนจ้าวเกอแสยะยิ้ม

พิธีชำระล้างน้ำพุกิเลน ลู่เวิ่นเองก็หวังอยู่ เพราะถึงอย่างไรโอกาสก็มีจำกัด

พอนับดูแล้วก็ยังเหลืออีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ลู่เวินยังพอจะลองพยายามดูได้ มิเช่นนั้นคงรู้สึกน่าอึดอัดใจมากกว่านี้

ทว่าโอกาสยิ่งน้อย การตัดสินใจของผู้อาวุโสในสำนักจะยิ่งระมัดระวังและรอบคอบยิ่งขึ้น หากลู่เวิ่นต้องการพยายามให้ได้มา ระดับความยากก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ลู่เวิ่นเดินขึ้นมาชั้นบน สายตาตกไปอยู่ที่ร่างกายของเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน

ความยินดีที่บรรลุขั้นเคียงนภาได้สำเร็จ หายไปไม่เหลือร่องรอยหลังจากออกฌานได้ไม่นานเท่าใดนัก

ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เยี่ยนจ้าวเกอบรรลุรวดเดียวจากระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย ถึงปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ความเร็วเช่นนี้ทำเอาเขาอึ้งอยู่ไม่น้อย

หากไม่ใช่เพราะการเข้าฌานเพื่อบรรลุครั้งนี้ ระดับวรยุทธ์ของเยี่ยนจ้าวเกอก็คงจะไล่ตามเขาทันแล้ว

และสิ่งที่ทำให้เข้าต้องตะลึงยิ่งกว่าก็คือ เฉาหยวนหลงและเซียวเซิงพ่ายแพ้ต่อเยี่ยนจ้าวเกออย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเซียวเซิงยังถูกสังหารอีกด้วย

คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ว่าเซียวเซิงเก่งแค่ไหน ทว่าลู่เวิ่นรู้แจ้งเสียยิ่งกว่าใคร ในบรรดาศิษย์ของเขากว่างเฉิงกับสำนักศักดิ์สิทธิ์สุริยัน เขาและเซียวเซิงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เติบโตมาพร้อมกัน เริ่มประลองชิงชัยตั้งแต่เยาว์วัย จวบจนปัจจุบันก็จะเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี