พอได้ยินคำถามของอวี่เยี่ย เยี่ยนจ้าวเกอก็พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนั้นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับตกมาอยู่ในมือข้าเพราะความบังเอิญและวาสนาจริงๆ เป็นเพราะเรื่องราวสำคัญยิ่ง จึงปิดเป็นความลับมาโดยตลอด แม้แต่พวกท่านก็ปิดบังไว้ ศิษย์พี่ได้โปรดให้อภัยด้วย”
เขามองเนี่ยจิงเสิน “ขอให้ศิษย์พี่เนี่ยอภัยให้ด้วย”
“กล่าวไปก็ละอาย ของล้ำค่าระดับเซียนน่าอัศจรรย์ถึงเพียงไหน ข้าได้มาหลายปีกลับไม่อาจแสดงความสามารถได้ อาจารย์ลุงเยว่ไม่ได้กลับโลกซ้อนโลก อาจารย์อาหลงกับกษัตริย์ลี้ลับก็เข้าฌานมาโดยตลอด ทำให้เวลาล่วงเลยถึงตอนนี้”
ครั้งนี้พอมาถึงตำหนักโอสถ ไม่ว่าจะทำอะไร เตาทองคำม่วงเมฆลี้ลับมีความสำคัญยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอในเมื่อเชิญเนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย และทวนพระอังคารร่วมทางก็ไม่ได้คิดปิดบัง
แม้อวี่เยี่ยจะไม่คาดเดา เยี่ยนจ้าวเกอก็คิดบอกด้วยตัวเองอยู่แล้ว
ตอนนั้นเป็นอีกอย่าง ตอนนี้ก็เป็นอีกอย่าง พอมาถึงระดับการฝึกปรือในตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ห่วงอีกแล้วว่าเรื่องราวของเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับจะถูกเปิดเผย
ความจริงแล้วเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นพวกเกาเสวี่ยโพที่ได้รับการรายงานจากเกาฉิง หรือว่าจักรพรรดิแพรงามฟู่อวิ๋นฉือที่ได้รับการรายงานจากฟู่ถิง เกรงว่าจะมีข้อสงสัยอยู่ไม่มากก็น้อยว่าเรื่องราวในตอนนั้นเป็นเยี่ยนจ้าวเกอเป็นชาวประมงได้ประโยชน์
แน่นอนว่าถ้าหากมีคนคิดร้ายเพราะเรื่องนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่เกรงใจเช่นกัน
แต่ครั้งนี้คนที่เลือกร่วมทางด้วยผ่านการพิจารณามาแล้วหลายรอบ สมควรไม่สร้างความขัดแย้งภายใน
เป็นอย่างที่คาด อวี่เยี่ยเพียงถามไถ่ หลังจากได้รับคำตอบที่แน่นอนแล้วก็พยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มีโอกาสขึ้นหลายส่วน”
จากนั้นความสนใจของนางก็ไม่ได้อยู่บนตัวเยี่ยนจ้าวเกออีก แต่พิจารณาแสงโพล้เพล้รอบๆ สายตาค่อยๆ ล่องลอย คล้ายกับดำดิ่งอยู่ในความลี้ลับของสภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้
เห็นได้ชัดมากว่าเรื่องราวการหายสาปสูญของสหายร่วมสำนักในตอนนั้นมาจากปัญหาของตำหนักโอสถ ไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจ้าวเกอ อวี่เยี่ยย่อมไม่มีโทสะเพราะเรื่องนี้
“ต่อให้ท่านอาจารย์กลับโลกซ้อนโลก แล้วเจ้าบอกเล่าเรื่องเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับให้เขาฟัง ก็เกรงว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์นัก” เนี่ยจิงเสินหัวเราะครั้งหนึ่ง “ทั่วทั้งเขานครหยกไม่ได้เชี่ยวชาญการหลอมโอสถ”
“เซียนพิศวงสงบนิ่งผลักดันเตาวิเศษ ไม่มีปัญหาแน่นอน ดูแค่ว่ามีประสิทธิภาพต่ำหรือสูง” เยี่ยนจ้าวเกอก้าวเท้า “แต่ว่าทุกอย่างรอหลังจากพวกเราจัดการเรื่องราวในนี้ก่อนค่อยว่ากล่าวเถอะ”
เพียงแต่จากการสกัดดูดซับกลิ่นโอสถที่หลอมรวมอยู่ในลำแสงเจ็ดสีเมื่อก่อนหน้า ถึงพวกเยี่ยนตี๋จะได้ประโยชน์ไม่มากเท่าเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็ได้รับประโยชน์ไม่ธรรมดา
กระนั้นคิดจะเอามาใช้เองโดยสมบูรณ์ กลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
นอกจากเยี่ยนตี๋ที่มีระดับวิชาหลอมโอสถไม่ธรรมดา ใช้ร่างกายของตัวเองหลอมกลิ่นโอสถอย่างรวดเร็วได้เหมือนเยี่ยนจ้าวเกอ คนอื่นๆ อีกสามคนจำเป็นต้องใช้เวลาตกตะกอน
ตอนนี้เวลาไม่คอยคน ได้แต่ดูดซับไว้ก่อน จากนั้นค่อยหาวิธีทีหลัง
เยี่ยนจ้าวเกอก้าวข้ามประตูกลางแสงโพล้เพล้เข้าไปเป็นคนแรก ด้านหน้าพลันกลายเป็นทิวทัศน์กว้างขวาง พวกเยี่ยนตี๋ตามเข้ามา ตำหนักโอสถที่ยิ่งใหญ่ก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว
ตำหนักสีดำลอยเดี่ยวๆ อยู่กลางอากาศ รอบๆ ไม่มีสิ่งก่อสร้างใด
ระลอกแสงสีดำหลายสายกระจายออกไปรอบๆ ขณะที่ทำให้มิติกระเพื่อมก็ประกอบกันเป็นเขตแดนขวางกั้นระหว่างมิติ โลกที่เป็นเอกเทศใบหนึ่งเกิดขึ้นโดยมีตำหนักใหญ่นี้เป็นศูนย์กลาง
เมื่อไม่มีกระดิ่ง ไม่มีประตู คิดจะเข้ามายังโลกใบนี้ผ่านมิติไร้สิ้นสุดในจักรวาลภายนอก เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
พอมาถึงหน้าตำหนัก กลิ่นอายเก่าแก่โบราณก็พุ่งมาปะทะหน้า
‘ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ก็อยู่ที่นี่มาตลอด ลอยอยู่เงียบๆ มาถึงวันนี้…หรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองแสงสีดำจางๆ นั้น ‘ไม่เหมือนกับถูกนพยมโลกกัดกรร่อน แต่ว่าต่างไปจากในความทรงจำของข้า’
“เป็นเพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หรือว่าเป็นเพราะภายในตำหนักโอสถ”
เขาทางหนึ่งไตร่ตรอง ทางหนึ่งหันไปพูดกับพวกเยี่ยนตี๋ “พวกเราเข้าไปกันเถอะ เส้นทางไม่แน่นอน ทุกคนต้องระวังให้มาก เกิดว่าพลัดหลงกันก็ให้รักษาตัวก่อน นึกถึงสิ่งที่ข้าบอกพวกท่านตอนที่เดินทางไว้”
“คนที่เข้ามาก่อน ขณะที่ชิงโอกาสได้ก่อน ถ้ามีกับดักอะไรก็น่าจะแตะต้องก่อนเป็นพวกแรกๆ เรียกว่ามีข้อดีข้อเสีย” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เนี่ยจิงเสินยิ้มอย่างไม่นำพา ส่วนอวี่เยี่ยยังคงเหม่อลอย ท่าทางซึมเซา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี