พอฟังข่าวของปีศาจกวางขาว กษัตริย์อนันต์ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่จากนั้นเขาก็ใจเย็นลง “ปีศาจเฒ่าตนนี้ยังไม่โผล่มา ถ้าหากเขาสอดมือจริงๆ พวกเรายิ่งต้องเร่งความเร็ว จัดการปัญหาก่อนที่เขาจะปรากฏตัว”
กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีเปลี่ยนเรื่อง พูดกับวิญญาณตำหนักโอสถ “ในเมื่อท่านมีสติปัญญา เกรงว่าจะรู้จักกวางขาวพาหนะของเทพโซ่วซิงดีกว่าพวกเรา ปีศาจตนนั้นในเมื่อไม่ได้ตายในวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ปัจจุบันผ่านไปหลายปี เกรงว่าการบำเพ็ญเพียรจะลึกล้ำน่ากลัวกว่าเดิม สถานการณ์ในตอนนี้ของท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ มิสู้มาร่วมมือกับพวกเรา รับมือปีศาจตนนั้นเป็นเรื่องหลักก่อน”
วิญญาณตำหนักเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าสำนวนนัก”
ขณะที่พูด ความว่างเปล่าไกลออกไปก็พลันเกิดการสั่นสะเทือน มีคนเข้าใกล้ที่นี่อีกครั้ง
ผู้มามีสองคน คนแรกเป็นคนหนุ่มสวมอาภรณ์ขาวมงกุฎหยก เป็นหลงเสวี่ยจี้กระบี่น้อยที่ไม่ได้พบกันมานาน อีกคนกลับเป็นเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ
เป็นที่เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาพบเจอกันโดยบังเอิญตอนกำลังคลำทางในจักรวาลในตำหนัก จากนั้นก็ร่วมทางกันมาถึงที่นี่
พวกเยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็เข้าไปรับ ครั้นทักทายกันแล้วจึงแลกเปลี่ยนข่าวสารที่มีอยู่
เยี่ยนตี๋กับหลงเสวี่ยจี้รู้สึกประหลาดใจกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่บ้าง วิญญาณตำหนักมีสติปัญญาเป็นของตัวเองเป็นเรื่องหนึ่ง ยอดฝีมือผู้นำเผ่าปีศาจมีพลังแข็งแกร่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ในเมื่อเกลี้ยกล่อมวิญญาณตำหนักนั่นไม่ได้ มิสู้ฉวยโอกาสขณะมันแบ่งสมาธิมาผลักดันพิธีกรรม รีบเผด็จศึก จัดการมันทิ้งก่อน” หลงเสวี่ยจี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “ถึงเวลาอาศัยความได้เปรียบด้านชัยภูมิของตำหนักโอสถ ทดลองต่อสู้กับกวางขาวตนนั้น”
จักรพรรดิเมฆว่า “ข้ามีความคิดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าประการแรกไม่อาจจัดการได้ในระยะเวลาอันสั้น อาจถูกเผ่าปีศาจปิดทางถอย ประการที่สองถ้าหากเผ่าปีสาจสมคบกับวิญญาณตำหนักโอสถนี้แล้ว พวกเราตอนนี้เกรงว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย”
“สมมติว่าพวกเขาร่วมมือกันจริงๆ พวกเราอยู่ในตำหนักโอสถแห่งนี้ คิดไปก็ไม่ทันกาล มิสู้ทุบหม้อข้าวจมเรือ รวมกำลังโจมตีเป้าหมายเดียวก่อน” หลงเสวี่ยจี้ว่า
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ไม่ใช่ไม่อาจลองดู”
เขาสามารถทราบผ่านการสังเกตของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกทางแกนนำทางได้ ว่าผู้มาจากภายนอกที่เข้าสู่ตำหนักโอสถตอนนี้ล้วนเข้าไปในอาณาเขตที่เงามืดครอบคลุมแล้ว
นอกจากเยี่ยนตี๋ที่รวมตัวกับตนแล้ว เนี่ยจิงเสิน อวี่เยี่ย ทวนพระอังคารคงจะอยู่ห่างที่นี่ไม่ไกล
จากระยะห่างในตอนนี้ การเล็งเป้าหมายที่วิญญาณตำหนักเทียนซู ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการอะไรเลย
กวางขาวตนนั้นจึงเป็นปัญหาที่แท้จริง
หลงเสวี่ยจี้ไม่กล่าวมากความ กลายร่างเป็นประกายกระบี่ พุ่งไปยังที่ที่กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีต่อสู้กับคนที่อยู่ห่างออกไป
จักรพรรดิสัญญะเมฆก็เคลื่อนไหวอย่างเดียวกัน
วิญญาณตำหนักโอสถมีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่ว่าก่อนที่จะเกิดใหม่ในร่างมนุษย์ ระดับเหตุผลยังเลอะเลือน ยากจะใช้การแบ่งระดับพลังฝึกปรือของจอมยุทธ์มากำหนด การโจมตีของจักรพรรดิเซียนจริงแท้สองคนก่อให้เกิดการคุกคามต่อมันได้
คลื่นหลงเหลือจากการต่อสู้ของกษัตริย์อนันต์และมัน เป็นอันตรายอย่างหนึ่งต่อจอมยุทธ์มนุษย์ที่ยังไม่ได้ผลักเปิดประตู
ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ เฮ่อเหมี่ยนจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว ทำให้พวกกษัตริย์อนันต์ชิงลงมือได้ก่อนโดยไร้ข้อกริ่งเกรง จากนั้นก็พิจารณาผลที่ตามมา
ในขณะเดียวกัน พวกเขาสามคนแผ่ขยายจิตใจออกไปรอบๆ ระแวดระวังการเคลื่อนไหวทั่งบริเวณ
อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่เป็นคนโจมตีหลักยังคงเป็นจางปู้ซวี แต่หลังจากหลงเสวี่ยจี้กับจักรพรรดิสัญญะเมฆเข้าร่วม แรงกดดันของวิญญาณตำหนักก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ถึงอย่างไรสองคนนี้ก็ไม่อาจใช้เซียนจริงแท้ในนิยามทั่วไปมาหยั่งคาดได้
เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งสำรวจสถานการณ์รอบๆ ทางหนึ่งสัมผัสกับสถานการณ์ของวิญญาณตำหนักโอสถ
พิธีกรรมเริ่มแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ วิญญาณตำหนักกลับประสบการกลุ้มรุมจากพวกหลงเสวี่ยจี้ ความเป็นไปได้ที่พิธีกรรมจะล้มเหลวมีมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันกลับทนต่อ ต้องการจะทำอะไรกันแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี