การบำเพ็ญของเผ่าปีศาจใกล้เคียงกับจอมยุทธ์สำนักเต๋าถึงขีดสุด
หลังจากที่ปีศาจกวางซึ่งกลายร่างเป็นชายชรากลับคืนร่างเดิม พวกกษัตริย์อนันต์ต่างสัมผัสได้อย่างรางเลือน
ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าได้หลอมเปลี่ยนปราณเซียนทั้งห้าชนิด ถึงกับอยู่ในระดับจ้าวสวรรค์ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด
ไปอยู่ในเผ่าปีศาจ เรียกว่าอนุเทวะ
สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตึงเครียดก็คือ ไม้เท้าที่ไม่สะดุดตาในมือของกวางตัวนี้
ไม้เท้าหัวมังกร เป็นของวิเศษที่เทพโซ่วซิงแห่งวังเทพพกติดตัวก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ไม่ใช่ศาสตราวุธ ไม่ได้ถูกจัดเป็นอาวุธของเซียน ทว่าอานุภาพยังอยู่เหนือกว่าอาวุธเซียนจำนวนมาก
ในตอนที่กวางตัวนี้ลอบลงมายังโลกมนุษย์ ได้ขโมยของวิเศษชิ้นนี้มาด้วย ต่อมาถูกเทพโซ่วซิงพากลับวังเทพ
ปัจจุบันวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ปีศาจกวางขาวรอดชีวิต ไม้เท้าหัวมังกรอันนี้จึงตกมาอยู่ในมือของมันอีกรอบ
กษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีถอนใจคำหนึ่ง สายพิณสั่นไหว ปราณกระบี่ไม่ได้โจมตีวิญญาณตำหนักอีก แต่เล็งที่กวางขาว
“ไม่ต้องสนใจเรื่องที่นี่แล้ว หนีไปได้กี่คนก็ต้องไป” จางปู้ซวีส่ายหน้าถอนใจ
ปีศาจกวางขาวมีพลังมากพอที่จะสะกดทุกๆ คนที่อยู่รอบๆ นอกจากวิญญาณตำหนักได้ด้วยพลังของคนเดียว
นอกจากนี้วิญญาณตำหนักยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
ปัจจุบันต่อให้วิญญาณตำหนักไม่ลงมือ ไปดำเนินพิธีกรรมที่จิตใจเฝ้าปรารถนาให้สำเร็จ สถานการณ์ในตอนนี้ก็เลวร้ายถึงขีดสุดสำหรับคนอื่นๆ อยู่ดี
จางปู้ซวีก้าวเท้าออกก้าวหนึ่ง เข้าปะทะกับปีศาจกวางขาวก่อน
กลับไม่ใช่เขายินยอมเสียสละตัวเอง แต่เป็นเพราะในกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ หากปีศาจกวางขาวเลือกเป้าหมาย จะต้องเลือกเซียนลี้ลับเพียงคนเดียวอย่างเขาก่อน
สำหรับปีศาจกวางขาวที่ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดแล้ว ไม่ส่งผลคุกคามโดยสิ้นเชิง
เป็นไปอย่างที่คาด ปีศาจกวางขาวหัวเราะฮ่าๆ ยื่นมือออกมาคว้าใส่จางปู้ซวี
เขากางห้านิ้ว พลังห้าปัญจธาตุโคจร เหมือนกับโลกธรรมชาติใบหนึ่งกดทับใส่จางปู้ซวี
ปราณปีศาจพวยพุ่ง ถึงกับเหมือนความลี้ลับของคัมภีร์พลิกฟ้ากับคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตซึ่งเป็นการสืบทอดกระแสตรงสายหยกพิสุทธิ์เปลี่ยนแปลงสร้างขึ้น
นานมาแล้ว เทพโซ่วซิงแห่งวังเทพเป็นผู้สืบทอดของเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดแห่งสายหยกพิสุทธิ์เช่นกัน
ทักษะวรยุทธ์ของปีศาจกวางขาวตนนี้ส่วนใหญ่มาจากการถ่ายทอดของเทพโซ่วซิง จากนั้นก็ประสานกับวิชาปีศาจของตัวเอง สุดท้ายให้กำเนิดวิถีที่เหมาะกับตัวมันมากที่สุดขึ้น
จางปู้ซวีดวงตากลายเป็นคมกริบ ดีดสายพิณ เสียงพิณกระเพื่อมขึ้นมา กลายเป็นประกายกระบี่สีดำขลับหลายสายตามลำดับ จากนั้นก็ตัดสลับกันกลางอากาศ กอปรกันเป็นตาข่ายกระบี่ที่ทั้งถี่ยิบและคมกริบ ป้องกันฝ่ามือของอีกฝ่าย
จากนั้นแสงสีแดงก็กะพริบขึ้นบนร่างของเขา ปราดหนีไปยังทิศทางหนึ่ง
ปีศาจกวางขาวเหลือบแลยังไม่เหลือบแลตาข่ายกระบี่สีดำ ยังคงคว้าฝ่ามือลง พร้อมกับที่เขาคว้าฝ่ามือลง พลันมีเสียงดังขึ้น
ไม่ใช่ปีศาจกวางขาวพูดขึ้น แต่มีเสียงดังขึ้นพร้อมกับการลงมือของเขา
เสียงนั้นเหมือนกับเหล่าเซียนขับร้องเพลง ลวดลายอาคมมากมายสว่างขึ้นกลางความว่างเปล่าของจักรวาลด้านในตำหนักโอสถ ก่อนจะเชื่อมต่อกันเป็นแถบแสงหลายสาย
แถบแสงสั่นไหว โลกทั้งใบเกิดเสียงเซียนที่ไพเราะเสนาะหูและลี้ลับไม่ธรรมดา
หลังจากดังขึ้น เสียงก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำลง
ไม่ใช่เสียงเบาลง แต่เปลี่ยนเป็นลี้ลับมากขึ้น ทำให้ผู้คนยากจะทำความเข้าใจ สอดคล้องกับสัจธรรมที่ว่าสภาพอันประเสริฐคือไร้ลักษณ์ เสียงอันประเสริฐคือไร้เสียง
เสียงนี้พอดัง นอกจากกษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีที่อยู่ในระดับเซียนลี้ลับแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างยิ่งรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองเหมือนกับกลายเป็นว่างเปล่า ตกอยู่ในสภาพล่องลอยไร้ความรู้สึกโดยสมบูรณ์
ไม่คิด ไม่ตรอง ไม่นึก ไม่จำ
ทุกสิ่งว่างเปล่า เหมือนกับว่าคนได้ถูกเสียงของมหามรรคานี้หลอมเป็นหนึ่งเดียว
เยี่ยนจ้าวเกอมีสภาพไร้ขอบเขตปรากฏในร่าง จิตใจจึงค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงรู้สึกว่าความนึกคิดของตัวเองถูกยับยั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี