พอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกซ้อนโลกในตอนนี้ สีหน้าของราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง
“คนรุ่นหลังน่ากลัวนัก!” ชายชราถอนใจเฮือกหนึ่ง “ยังคิดถึงชีวิตอื่นๆ ไม่นับว่าเสียสติ จุดยืนต่างกันไม่ผิดจริงๆ แต่ข้ากลับไม่อาจนั่งเฉยดูพวกเจ้าออกจากโลกซ้อนโลก”
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ร่างเหมือนกับเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่ขึ้นหลายส่วนในชั่วพริบตา จากนั้นในมือก็เพิ่มค้อนขนาดยักษ์เพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง!
ค้อนยักษ์แปดเหลี่ยมสีดำสนิทที่ผิวส่องแสงสีเหลืองระยิบระยับ หนาหนักถึงขีดสุด
กลับเป็นอาวุธเซียนสงบนิ่งที่เคยสร้างชื่อบนโลกซ้อนโลกของราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่น ค้อนแปดเหลี่ยมดินโบ่ว มันได้รับการขนานนามเทียบเท่าสะบั้นคลื่นเย็นเยือกของกษัตริย์ดารา และพัดบดบังฟ้าของกษัตริย์เร้นลับ
หลังจากเจี่ยงเซิ่นกลายเป็นเซียนกำเนิดก็ไม่ได้ใช้มันอีก แต่ตอนนี้สามารถนำมันออกมาใช้แล้ว
วรยุทธ์ของผากิเลนมาจากตัวเจี่ยงเซิ่นเอง ที่แล้วมาให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าโจมตี
ตัวเจี่ยงเซิ่นเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด ในตอนที่ละทิ้งรูปภูผาธาราโบ่วกี้หลังจากเลื่อนสู่ระดับเซียนลี้ลับ สร้างอาวุธเซียนระดับสงบนิ่งให้แก่ตัวเอง ก็ตั้งใจสร้างอาวุธโจมตีที่รุนแรงสุดเปรียบปานชิ้นนี้ขึ้นมา
อาวุธที่แท้จริง เต็มไปด้วยพลังทลายล้างและคุณสมบัติโจมตี!
ตอนนี้เจี่ยงเซิ่นมีค้อนอยู่ในมือ หลังจากที่ยกค้อนแปดเหลี่ยมดินโบ่วขึ้น สภาวะของเขาก็เปลี่ยนแปลงตาม
ผู้อาวุโสที่ก่อนหน้ามีกลิ่นอายของม้วนตำราเข้มข้น ยามนี้กลายเป็นแม่ทัพกรำศึกที่สยบใต้หล้า องอาจเหี้ยมหาญบนสมรภูมิ!
กษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้ยเป่ยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
เขาไม่มีอาวุธเซียนระดับสงบนิ่งอยู่ในมือ ศัตรูตรงหน้าไม่เหมือนกับกษัตริย์อนันต์จางปู้ซวีแห่งสายเหนือพิสุทธิ์ในตอนนั้น
จางปู้ซวีมีอาวุธเซียนระดับสงบนิ่งเช่นกัน แต่เป็นเพราะได้รับความเสียหายจากเรื่องอื่น จำเป็นต้องซ่อมแซมฟื้นฟู ดังนั้นตอนไปยังตำหนักโอสถจึงไม่ได้นำไปด้วย
ราชันพระเสาร์เจี่ยงเซิ่นตอนนี้ยกค้อนแปดเหลี่ยมดินโบ่วขึ้น แล้วฟาดใส่เยว่เจิ้นเป่ย!
อาวุธเซียนที่รุนแรงแข็งกร้าว เชื่อมต่อกับวิชาหมัดโบ่วกี้ทำลายฟ้าของเจี่ยงเซิ่นโดยสมบูรณ์ ส่งเสริมกันและกัน ให้กำเนิดประสิทธิผลหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสอง คลุ้มคลั่งน่าตระหนกกว่าเดิม!
ค้อนพอฟาดลง ถึงกับใกล้เคียงกับการลงมือในตอนที่เขายังเป็นเซียนกำเนิดเมื่อครู่
เยว่เจิ้ยเป่ยฟันประกายกระบี่ที่เล็กละเอียดออกไป ใช้เล็กต้านใหญ่ เคลื่อนไหวอยู่ใต้ค้อนของเจี่ยงเซิ่น
ถึงศัตรูจะตรงหน้าแข็งแกร่ง แต่เยว่เจิ้ยเป่ยขณะที่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมก็ยังคงไร้ความเกรงกลัว ตั้งสมาธิกับมรรคายุทธ์วิชากระบี่ รับทุกการโจมตีของศัตรูอย่างเยือกเย็น ใช้วิธีต่อสู้แบบกองโจร ต้านการจู่โจมอันคลุ้มคลั่งรุนแรงของเจี่ยงเซิ่น
สู้แบบกองโจรเหมือนกัน วิธีการกลับแตกต่าง
เยว่เจิ้ยเป่ยไม่ได้หลบหลีกเพียงอย่างเดียว พร้อมกับที่เคลื่อนท่าร่างอยู่นั้น เขาก็ส่งกระบี่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ใช้โจมตีปะทะโจมตี
เหมือนกับพายุฝนกัดเซาะภูผาแกร่งทั้งกลางวันกลางคืน เร่งให้มันเสื่อมสลาย
ถึงจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เยว่เจิ้ยเป่ยยังคงยึดติดกับกลยุทธิ์ ไม่แสดงท่าทีพ่ายแพ้
ในดวงตาที่มองไปยังเยว่เจิ้ยเป่ยของเจี่ยงเซิ่นแฝงความเสียดาย เพื่อป้องกันการเชื่อมตำหนักโอสถกับโลกซ้อนโลกของเยี่ยนจ้าวเกอให้เร็วที่สุด เขาจึงทุ่มพลังตั้งแต่แรก ใช้สภาวะโจมตีผลักภูเขาถมทะเล หมายจะกดดันเยว่เจิ้ยเป่ย
เจี่ยงเซิ่นไม่คิดจะเสียเวลากับเยว่เจิ้ยเป่ยที่นี่ เพราะมันไร้ความหมายยิ่งนัก การหยุดเยี่ยนจ้าวเกอมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับเขา
ทว่าในเวลานี้ บนตำหนักหยกขาวที่อยู่กลางความว่างเปล่าห่างออกไปสาดแสงสีทองสายหนึ่งออกมาอย่างฉับพลัน บรรลุถึงตรงหน้าเจี่ยงเซิ่นในชั่วพริบตา!
บัดนี้เจี่ยงเซิ่นเครียดเกร็ง ‘ตำหนักโอสถของวังเทพลี้ลับจริงๆ ในตอนที่ดำเนินพิธีออกจากโลกซ้อนโลก ถึงกับแบ่งพลังส่วนหนึ่งมาคุ้มครองตัวเองได้’
เขาได้แต่ชักค้อนกลับไปป้องกันแสงสีทองอย่างจนปัญญา
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เจี่ยงเซิ่นคิดจะอ้อมผ่านการขวางทางของเยว่เจิ้ยเป่ยก็ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว
ถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ว่าในตอนที่เขากำลังเปลี่ยนความได้เปรียบเป็นชัยชนะ ตำหนักโอสถก็คอยแว้งกัด ทำให้เขาอึดอัดคับข้อง ยากจะข้ามเส้นแบ่งเข้าไปได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี