“บรมครูสามพิสุทธิ์อยู่สูงส่ง ขออภัยที่ศิษย์เยี่ยนจ้าวเกอไร้มารยาท” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเนิบนาบ “ใต้เท้ากษัตริย์เถา ท่านเคยประสบวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มาด้วยตัวเอง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอคำยืนยันจากท่าน”
กษัตริย์เถาสีหน้าเคร่งขรึม นางคล้ายเดาออกผ่านคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอเมื่อก่อนหน้าว่า เยี่ยนจ้าวเกอจะถามอะไร
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หลบเลี่ยงคนอื่น สายตาจ้องมองกษัตริย์เถาซึ่งเป็นคนที่อยู่มาก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ตรงหน้า
“เหล่าจวินยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
เพียงประโยคสั้นๆ ในห้องเงียบงันเป็นเป่าสาก
ลมหายใจของทุกคนเหมือนกับหยุดชะงักลงชั่วพริบตา
คำ ‘เหล่าจวิน’ แม้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แปลกประหลาดเหลือแสน แต่ในฐานะสามพิสุทธิ์สายหลัก คนที่อยู่รอบๆ ต่างทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอหมายความถึงอะไร
เหล่าจวิน ก็คือไท่ซ่างเหล่าจวิน หรือก็คือบรมครูเทวกษัตริย์เต๋าสายเอกพิสุทธิ์ซึ่งเป็นบรมครูในสามพิสุทธิ์สายหลัก
“ที่เจ้าต้องการถามก็คือ เหล่าจวินได้ปรากฏตัวลงมือในตอนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หรือไม่กระมัง?” กษัตริย์เถาสีหน้าไร้อารมณ์ น้ำเสียงเลื่อนลอยอยู่บ้าง
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวตรงไปตรงมา “ถูกต้อง”
ตอนที่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เพิ่งมาถึง ตนในฐานะส่วนหนึ่งของวังเทพ ได้สูญเสียสติไปพร้อมกับความพินาศของหอเก็บหนังสือวังเทพ
จนกระทั่งได้ฟื้นขึ้นมาบนโลกแปดพิภพ ก็ผ่านไปนานหลายปีแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีความทรงจำต่อความเป็นมาและรายละเอียดของวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
พลังฝึกปรือในตอนนั้นของกษัตริย์เถาที่อยู่ตรงหน้าคงจะไม่สูงนัก สิ่งที่ทราบสมควรมีจำกัด
ทว่ากษัตริย์เถาในตอนนี้มีสถานะพิเศษ หลายปีมานี้ยังได้ติดต่อกับเจ้าแม่อู๋ตังไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง บางทีอาจทราบถึงเรื่องราวในครั้ง หนำซ้ำยังเข้าใจล้ำลึกกว่าพวกเกาชิงเสวียน สั่วหมิงจาง และเฉินเสวียนจงที่เกิดมาหลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
เยี่ยนจ้าวเกอมองฟู่อวิ๋นฉือจักรพรรดิแพรที่อยู่ด้านข้าง “ความเป็นมาของการสืบทอดของใต้เท้าจักรพรรดิแพร หากสืบสาวไปถึงที่สุด ถือว่ายาวนานยิ่ง บูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเคยร่ำเรียนในตำหนักดุสิตของเหล่าจวิน แต่ว่าได้ออกจากตำหนกัดุสิตมานานมากแล้ว จึงไม่ทราบสถานการณ์หลังจากนั้นของตำหนักดุสิต ไม่ทราบสถานการณ์ของเหล่าจวินตอนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”
“หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ท่านอาจารย์แต่ละรุ่นต่างก็เคยทดลองเสาะหาเส้นทางกลับตำหนักดุสิต แต่ไม่ได้ผลอะไร” ฟู่อวิ๋นฉือพยักหน้า
กษัตริย์เถามองฟู่อวิ๋นเซิงกับเยี่ยนจ้าวเกออย่างเงียบๆ เนิ่นนานให้หลังค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ครั้งกระโน้นข้ามีพลังฝึกปรือตื้นเขิน ที่รอดภัยพิบัติมาได้ ต้องของคุณเจ้าแม่อู๋ตังที่คุ้มครอง ย่อมไม่ทราบสถานการณ์ของโลกภายนอก”
“แต่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ได้ยินเจ้าแม่บอกว่า เหล่าจวินไม่ได้ลงมือตอนเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่”
นางกล่าวทีละคำ “แต่ว่า ตามคำพูดของเจ้าแม่ เหล่าจวินยังคงมีชีวิตอยู่”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า คล้ายนึกอะไรออก
กษัตริย์เถากล่าวอย่างแช่มช้า “ทว่าไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของเหล่าจวินออก พวกเราคาดไม่ออก มารร้ายเส้นทางนอกรีตก็คาดไม่ออกเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเสียงเบา “ถ้าหากว่าเทวกษัตริย์เต๋าหลุดพ้นไปแล้วจริงๆ ใช่ว่าไม่อาจทำความเข้าใจ”
สำหรับเทวกษัตริย์เต๋า การเป็นนักปราชญ์ผู้สูงส่งละทิ้งซึ่งอารมณ์ความรู้สึก จะมองทุกคนอย่างเท่าเทียมเหมือนมหามรรคา หรือรักษาเจ็ดอารมณ์หกอาตยนะไว้เหมือนปุถุชนคนธรรมดา เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ยินยอมช่วยเหลือก็คือยินยอมช่วยเหลือ ไม่ยินยอมก็ไม่สนใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความคิดของตัวเหล่าจวิน ไม่อาจใช้เหตุผลหรือว่าตรรกะทั่วไปมาศึกษาคาดเดาได้
ไม่สนใจ หรือสนใจในทุกเรื่องราว โดยพื้นฐานแล้วไม่มีข้อแตกต่างกัน
สมมติว่าเขายินดีละทิ้งซึ่งอารมณ์ รักษาความยุติธรรมดุจหลักการฟ้า เช่นนั้นสำหรับสามเขาแล้ว พิสุทธิ์สายหลักไม่มีความแตกต่างใดกับเส้นทางนอกรีตกัและศาสนาพุทธ
แต่ว่าไม่มีใครแยกแยะได้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่
สิ่งที่แยกแยะได้ยากยิ่งกว่าก็คือ เขาจะเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันหรือไม่
สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ความคิดของเฉินกานหวาที่เปลี่ยนแปลงมากมายยากคาดเดา เป็นแค่ของเด็กๆ เท่านั้น
“แต่ถ้าหลุดพ้นไปแล้วจริงๆ ไฉนท่านผู้เฒ่าจึงยังอยู่บนโลกนี้? ไม่เห็นบรมครูเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดกับบรมครูเทวกษัตริย์รัตนะวิเศษ”
นานมาแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอเคยสงสัยเรื่องหนึ่ง
หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ สำนักเต๋าสายหลักรอวันเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่เป็นช่วงเวลาที่เส้นทางนอกรีตไม่ว่าจะเป็นโถงเซียนหรือว่าแดนสุขาวดีบัวขาวมีสภาวะยิ่งใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี